วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อพ่อแม่เลี้ยงลูกแบบ"ไร้เพศ" เด็กจะตัดสิน"ตัวตน"ด้วยตัวเองได้จริงหรือ

   เมื่อ มีลูก หลายๆคนก็มักต้องการให้ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงได้รับทราบข่าวดีดังกล่าว หลายคนยินดีที่จะเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ อาทิ ชื่อ, เพศ, น้ำหนักแรกคลอด, ฯลฯ
   แต่อีเมล์ฉบับหนึ่งของแคธี่ วิทเทอร์ริค และเดวิด สต็อคเกอร์ แห่งเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ที่ส่งถึงบุคคลใกล้ชิดไม่มีรายละเอียดสำคัญครบถ้วนตามที่กล่าวมาข้างต้น พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่แจ้งเพศของทารกว่าเป็น"เพศหญิง" หรือ"เพศชาย" โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้"สตอร์ม"ลูกของพวกเขา ถูกจำกัดเสรีภาพและทางเลือกในการเลือกเพศสภาพของตนตั้งแต่ยังแบเบาะ
   
   "สตอร์ม" วัย 4 เดือน
   ไม่มีสิ่งปกติหรือความน่าเคลือบแคลงใดๆเมื่อสังเกตจากอวัยวะเพศของทารก แต่นายสต็อคเกอร์กล่าวว่า "หากคุณต้องการรู้จักใครสักคนจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องถามว่ามีอะไรอยู่ตรงหว่างขาของพวกเขา" ดังนั้นจึงมีเพียงแต่ตัวผู้เป็นพ่อแม่ ลูกคนโตอีก 2 คน(ซึ่งเป็นผู้ชาย) เพื่อนสนิท และนางพยาบาลผดุงครรภ์อีก 2 คนเท่านั้น ที่รู้ว่าทารกวัยสี่เดือนรายนี้จริงๆแล้วเป็นเพศอะไร เพราะแม้แต่ปู่ย่าตายายแท้ก็ไม่ทราบว่าหลานของตนเพศอะไร
   นาง วิทเทอร์ริค และนายสต็อคเกอร์กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้ จะช่วยให้สตอร์มมีเสรีภาพในการเลือกว่าเมื่อโตขึ้นเขาอยากเป็นอย่างไร "สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือ พ่อแม่มักจะสร้างทางเลือกให้เด็กๆมากเกินไปและนั่นจะยิ่งทำให้เขารู้สึก สับสน หรือได้รับอันตรายหรือสิ่งเลวร้ายได้ง่าย" เพราะเด็กๆมักจะได้รับ"ข้อความ"บางอย่างจากสังคม ที่กระตุ้นให้พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในกล่องที่สังคมเลือกไว้ให้ ซึ่งรวมถึงเรื่องเพศสภาพ
   

   "เราคิดว่า ถ้าเราทำให้ข้อมูลเหล่านั้นเข้าถึงตัวเด็กช้าลง โดยค่อยๆทำอย่างระมัดระวัง เราก็จะสามารถเอาชนะ"ข้อความ"นับล้านๆเหล่านั้น ก่อนที่สตอร์มจะตัดสินใจว่าเขาต้องการแบบใด" นางวิทเทอร์ริคกล่าว
   เธอ กล่าวในตอนหนึ่งของอีเมล์ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอไม่ยอมบอกเพศของสตอร์มก็คือ "ฉันต้องการบอกโลกให้รู้ไว้ว่า กรุณาปล่อยให้เขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขาด้วยตัวเองด้วยเถอะ"
   
   "แจ๊ซ"วัย 5 ขวบ พี่คนโต และสตอร์ม
   ขณะ ที่สาเหตุหลักที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะเก็บ"เพศ"ของสตอร์มไว้ใน ที่มิดชิดที่สุดคือ ในระหว่างที่นางวิทเทอร์ริคกำลังตั้งครรภ์สตอร์ม "แจ๊ซ"บุตรชายคนโต ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับเรื่องเพศของตน และเธอต้องการได้รับคำแนะนำในการเลี้ยงดูลูกเพื่อให้เขาผ่านช่วงเวลาเช่น นั้นไปได้
   ต่อมาเธอได้อ่านหนังสือชื่อ X: A Fabulous Child′s Story ที่แต่งโดย หลุยส์ กูลด์ ที่กล่าวว่า การเลี้ยงดูบุตรโดยที่เขาไม่ทราบว่าตนเป็นเพศอะไร จะทำให้เขาเติบโตเป็นเด็กที่มีความสุขและปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี และเห็นว่าน่าจะปรับใช้ให้เข้ากับลูกๆของเธอได้
   ทั้ง คู่มีมาลูกแล้ว 2 คนก่อนหน้าสตอร์ม คือแจ๊ซ วัย 5 ขวบ และคิโอ วัย 2 ขวบ และได้นำวิธีการเลี้ยงดูบุตรดังกล่าวมาปรับใช้กับเด็กๆ พวกเขาสามารถเลือกใส่เสื้อผ้าได้ตามต้องการไม่ว่าจะเป็นของเด็กชายและเด็ก หญิง และเลือกได้ว่าจะตัดผมหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ยาวตามธรรมชาติ นอกจากนั้นเด็กๆยังไม่ต้องเข้าโรงเรียน แต่ใช้วิธีแบบ"โฮมสคูล" หรือการศึกษาด้วยตนเองที่บ้าน แทนที่จะปล่อยให้ลูกๆของเขาต้องเข้าโรงเรียน 9 โมงเช้า กลับบ้านบ่าย 3 โมง และถูกบังคับให้ปฏิบัติตัว ทำกิจกรรม ตามที่คนอื่นสั่ง หรือเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ
   เด วิด สต็อคเกอร์ มีอาชีพเป็นครูโรงเรียนมัธยมซิตี้ วิว อัลเทอร์เนทีฟ ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูเพียง 4 คน และมีนักเรียนในชั้นเกรด 7 และ 8 เพียง 60 คน ที่ถูกปิดกั้นด้วยกรอบความคิดทางสังคม เชื้อชาติ และเพศ
   สมาชิก ในครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านอิฐสีครีมขนาด 2 ชั้น ด้านหน้าลานบ้านเต็มไปด้วยจักรยานของเด็กๆ  ซึ่งรวมถึงจักรยานสามล้อสีชมพูสดใสของคิโอ ขณะที่ในบ้านเต็มไปด้วยผลงานศิลปะและงานประดิษฐ์ของเด็กๆ ที่วางร่วมกับหนังสือจำนวนมาก พร้อมด้วยแผนที่โลกบนผนังและเฟอร์นิเจอร์แบบย้อนยุค บนชั้นสองของบ้าน ทุกคนนอนรวมกันในห้องนอนใหญ่ที่มีที่นอนวางต่อกันสองหลัง ในระหว่างวัน เด็กๆจะนำหมอนจำนวนมากและที่นอนมาตั้งเป็นป้อม
   แจ๊ซ มีตาสีน้ำตาล ไว้ผมยาวเลยบ่า และมักพูดด้วยน้ำเสียงเบา กล่าวว่าสีโปรดของเขาคือสีชมพู เขามักจะทาเล็บ และติดหูข้างหนึ่งด้วยวัตถุทรงกลมสีชมพูสดใสไว้ที่หูข้างหนึ่ง ขณะที่คิโอ ไว้ผมหยักศกยาวเลยคาง ชอบสีม่วง และมักจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใส่กางเกงนอน
   การที่ แจ๊ช และคิโอมักชอบใส่ชุดสีชมพูและไว้ผมยาว จึงมักถูกมองว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่กระนั้น สต็อคเกอร์ก็ไม่ห้ามเด็กๆและปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ตนเองต้องการ
    
   นางแคธี่ วิทเทอร์ริค(ซ้าย) และเดวิด สต็อคเกอร์(ขวา) พร้อมลูกคนที่ 2 "คิโอ"
   แต่ ชีวิตที่ปราศจากทางเลือกและกฎเกณฑ์ต่างๆก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป แม้ว่าแจ๊ซจะแต่งตัวคล้ายเด็กหญิง แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเข้าใจตัวเขาผิด เขามักจะร้องขอแม่ของเขาให้บอกกับครูว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย และเขาเลือกที่จะไม่ไปโรงเรียนในระบบปกติ เพราะกลัวที่จะถูกตั้งคำถามเรื่องเพศ หรือคำถามอื่นๆที่จะทำให้เขารู้สึกไม่ดี
   สำหรับตัวของวิทเทอร์ริคเอง ก็ไม่ยอมแพ้ที่จะทำการต่อต้านการเลือกบทบาททางเพศให้แก่ลูกของตน "ทุก คนคอยถามเราว่าเมื่อไหร่จะเลิกวิธีแบบนี้เสียที?" แต่เธอก็ไม่สนใจ และตอบว่า เราจะเลิกทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อ เราได้อยู่ในโลกที่เราสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการจะเป็นอะไร"
   
   เมื่อ เดือนกันยายนปีที่แล้ว แจ๊ซอยู่ในวัยที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้ว แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับบ้าน เนื่องจากทั้งผู้ปกครองและเด็กๆที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยกันนั้น จะแสดงความสนใจในเรื่องเพศ การแต่งกายและทรงผม ทันทีที่ได้เจอเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบใจนัก
   ทั้งคู่มี แผนที่จะเก็บเรื่องเพศของสตอร์มเป็นความลับ ในขณะเดียวกันกับที่ความคิดแนวปรัชญา ก็ยังคงที่จะต้องปะทะกันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสตอร์ม คิโอ และแจ๊ซ จะสะดวกในจพอที่จะตัดสินใจเรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง
   ครั้ง หนึ่ง แจ๊ซนำแฟ้มใส่ผลงานทำมือของเขาที่เต็มไปด้วยผลงานวาดเขียนและกลอนขึ้นมาให้ ดู ในหน้าหนึ่งของกระดาษเขียนข้อความที่แต่งโดยผู้ที่ใช้นามปากกาว่า "ผู้สำรวจเพศ" ด้วยปากกาสีม่วงและสีชมพู ซึ่งตกแต่งด้วยภาพวาดผีเสื้อหลากสีสัน เขียนไว้ว่า "ช่วยเด็กผู้หญิงทำในสิ่งที่เด็กผู้ชายทำ และช่วยเด็กผู้ชายทำในแบบที่เด็กผู้หญิงทำ
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น