วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หนุ่มลำปางตื่นพบสัตว์ประหลาดเหมือนงูผสมจิ้งเหลน

   
       
   หนุ่มลำปางตื่นพบสัตว์ประหลาดเหมือนงูผสมจิ้งเหลน ลำตัวมีหลายสี วอนผู้เชี่ยวชาญช่วยฟันธงตัวอะไร
   เมื่อ วันที่  30 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีชาวบ้านแม่เบิน หมู่ 1 ต.เมืองมาย อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง พบสัตว์ประหลาดที่เรียกชื่อไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไรดีจับมาเลี้ยงไว้ โดยชาวบ้านที่รู้ข่าวเริ่มแตกตื่นมาขอดูกันเป็นจำนวนมากจึงเดินทางไปตรวจสอบ พบนายธนวัฒน์ ตานาคา อายุ 25 ปี เจ้าของสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวที่ขังเอาไว้ในตะกร้ามีฝาปิด จากการสังเกตสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวมีลักษณะคล้ายๆ งูผสมจิ้งเหลน มีลำตัวยาวคืบกว่าๆ ลักษณะลำตัวมีหลากสี โดยเป็นขีดๆ สีดำตั้งแต่หัวถึงหางคล้ายงูก้านปล้อง ลำตัวมีทั้งสีส้ม สีเหลือง ส่วนหางจะเป็นสีขาวสลับดำ ขานั้นมี 4 ขา แต่ละขามี 5 นิ้วไม่วิ่งหนีเหมือนจิ้งเหลน แต่ไม่มีเขี้ยวขู่เหมือนงู เดินไต่ไปมาช้าๆ เมื่อเอามือจับเจ้าสัตว์ประหลาดก็จะพันรอบนิ้วหรือรอบแขนคนจับ
นาย ธนวัฒน์ เปิดเผยว่า ได้เจอเจ้าสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน ขณะกลับจากไร่ที่ท้ายหมู่บ้าน เดินผ่านป่าละเมาะก็ต้องหยุดชะงักก้าวเท้าไม่ออก เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดดังกล่าวกำลังค่อยๆ เดินกึ่งคลานข้ามถนน ก่อนผงกหัวมามองตน หลังจากหายตกใจพยายามเพ่งดูก็ดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร ค่อยๆ เดินมาดูใกล้ๆ เจ้าสัตว์ดังกล่าวก็ไม่วิ่งหนี คิดจะใช้มือจับแต่ยังไม่กล้า จึงใช้ฝักมีดขนาดใหญ่แหย่ไปใกล้ๆ ให้สัตว์ประหลาดเดินไต่เข้าไปในฝักมีด ก่อนจะหาอะไรมาปิด จากนั้นตนก็ตระเวนเดินไปหาคนเฒ่าคนแก่ทั่วหมู่บ้านเอาให้ดู แต่ทุกคนต่างส่ายหัวยืนยันตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นกันมาก่อน จึงตัดสินใจใส่ตะกร้าปิดฝาเลี้ยงไว้ในบ้านก่อน ต่อมาจึงกล้าจับ ส่วนอาหารที่ให้จะเป็นจิ้งหรีด ทั้งนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือผู้เชี่ยวชาญมาดูว่าเป็นตัวอะไร เพราะไม่รู้ว่าเลี้ยงถูกวิธีหรือไม่.

“ไผ่​มัน​หมู” 

Pic_175203
   ไผ่ ​ชนิด​นี้ พบ​มี​ต้น​วาง​ขาย​ที่​ตลาดนัด​ไม้​ดอกไม้​ประดับ สวนจตุจักร มี​ป้าย​ชื่อ​ เขียน​ติด​ไว้​ชัดเจน​ว่า “ไผ่​มัน​หมู” พร้อม​มี​รูป​ติด​โชว์​ให้​ชม​ด้วย  ซึ่ง ก็​เป็นต้น​เดียวกัน​กับ ไผ่​เป๊าะ ที่​คน​ส่วน​ใหญ่​รู้จัก และ​นิยม​รับประทาน​กัน​มา​ช้านาน พบ​ขึ้น​ทั่วไป​ตาม​ป่า​ธรรมชาติ​ตั้งแต่​ภาค​เหนือ จ.​แม่ฮ่องสอน เรื่อย​ ลง​มา​จนถึง​ภาค​กลาง​แถบ จ.​กาญจนบุรี ใน​บาง​พื้นที่​นิยม​ปลูก​เพื่อ​ เก็บ​หน่อ​รับประทาน​ใน​ครัวเรือน​ หรือ​ปลูก​เพื่อ​เก็บ​หน่อ​ขาย​ได้รับ​ ความ​นิยม​จาก​ผู้​รับประทาน​อย่าง​แพร่หลาย โดยเฉพาะ​ทาง​ภาค​เหนือ เนื่องจาก​หน่อ​สด​ของ “ไผ่​มัน​หมู” หรือ ไผ่​เป๊าะ จะ​มี​รส​หวาน​นำ​ไป​ต้ม​กับ​น้ำ​คั้น​ใบ​ย่านาง​กิน​เป็น​ผัก​จิ้ม​น้ำพริก ​อี​แก๋ น้ำพริก​กะปิ และน้ำ​ปรู๋ ทำ​แกง​เปรอะ ​แกง​รวม​กับ​เห็ด​ทอบ​ใส่​แคบหมู แกง​กับ​ไก่ ปลา หรือเนื้อ อร่อย​มาก
  
   ประโยชน์ ​ทาง​ยา ใบ ของ “ไผ่​มัน​หมู” ใช้​เป็น​ยา​ขับ​ปัสสาวะ ขับ​และ​ฟอก​โลหิต​ระ​ดู​ที่​เสีย แก้​มดลูก​อักเสบ ตา​ไผ่ แก้​ร้อน​ใน​กระหาย​น้ำ ราก ขับ​ปัสสาวะ และแก้​ไต​พิการ
  
   ไผ่​ มัน​ หมู หรือที่​คน​ส่วน​ใหญ่​รู้จัก​คือ ไผ่​เป๊าะ มีชื่อ​วิทยาศาสตร์ DENDROCALAMUS GIGAN-TEUS MUNRO อยู่​ใน​วงศ์ GRAMI-NEAE มี​ลักษณะ​ทาง​พฤกษศาสตร์​เป็น​ไม้​ตระกูล​หญ้า ลำ​ต้น​ตรง สูง 25-30 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง​ต้น 20-25 ซม. เนื้อ​หนา​ประมาณ 2-3 ซม. ตอน​กลาง​ลำ​ต้น​เปลา​ไม่​มี​กิ่ง ตอน​ปลาย​ลำ​เป็น​สี​เขียว​อม​เทา​คล้าย​กับ​มี​ขี้ผึ้ง​สี​ขาว​คลุม​ทั่ว ข้อ​ตอน​กลาง​มี​ขน​และ​มี​รอย​ราก หน่อ​มี​ขนาด​ใหญ่ แต่​ไม่​ยาว เนื้อ​หน่อ​เป็น​สี​ขาว รสชาติ​หวาน ปรุง​เป็น​อาหาร​ได้​หลากหลาย​ชนิด
  
   ใบ เรียว​แหลม โคน​ใบ​ทู่​เป็น​มุมป้าน ยาว 15-45 ซม. กว้าง 3-6 ซม. หลัง​ใบ​เป็น​สี​เขียว​เข้ม ท้อง​ใบ​เป็น​สี​เขียว​อ่อน ขอบ​ใบ​คม​สาก​มือ ก้าน​ใบ​สั้น เวลา​แตก​ต้น​เป็น​กอ​ขนาด​ใหญ่​หลายๆต้น จะ​ให้​ร่มเงา​ดี​มาก เนื้อไม้​สามารถ​นำ​ไป​ใช้​ประโยชน์​ใน​การ​ก่อสร้าง หรือ แปรรูป​หลาย​รูป​แบบ
  
   ดอก เป็น​ช่อ มี​กาบ​หุ้ม​เหมือน​หญ้า เมื่อ​ต้น​ไผ่​มีด​อก​และ​ดอก​แห้ง​แล้ว ​ต้น​มัก​จะ​ตาย​เรียก​ว่า “ไผ่​ตาย​ขุย” เมล็ด​มี​ขนาด​เล็ก​คล้าย​เมล็ด​ข้าวสาร ขยาย​พันธุ์​ด้วย​การ​ปัก​ชำ​ต้น ซึ่ง “ไผ่​มัน​หมู” หรือ ไผ่​เป๊าะ จะ​แทง​หน่อ​ให้​เก็บ​รับประทาน​ใน​ช่วง​ฤดู​ฝน มีชื่อ​เรียก​อีก​คือ​ไผ่​โป​ก, ไผ่​หวาน (เชียงใหม่)

นั่งนานเสี่ยงโรคเส้นเลือดดำส่วนลึกอุดตัน

                 
                
                                             โรคชื่อไม่คุ้นหูทั้งยังจำยาก แต่สาเหตุการเกิดไม่ยากเลย มาทำความรู้จักโรคนี้ แล้วหลีกหนีให้ไกลกันดีกว่า
              
               ความ ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันในปัจจุบันของแต่ละคน การจะทำให้ไม่เป็นโรคนั้นไม่ง่ายเลย วันนี้แนะนำให้รู้จักอีกโรคหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ตัวพวกเราเหลือเกิน โรคนั้นก็คือ โรคเส้นเลือดดำส่วนลึกอุดตัน
              
               "โรค เส้นเลือดดำส่วนลึกอุดตัน" ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ขา โดยเฉพาะเส้นเลือดในกล้ามเนื้อน่อง โรคนี้จะไม่แสดงอาการเจ็บออกมาอย่างชัดเจน แต่ทำให้ลิ่มเลือดที่เกิดจากการอุดตันในเส้นเลือดดำ มีโอกาสหลุดลอยไปตามกระแสเลือด ไปเกาะอยู่ในเส้นเลือดดำใหญ่ แล้วไหลผ่านไปอุดอวัยวะต่าง เช่น ปอด หัวใจ หรือสมอง ได้ จนอวัยวะส่วนนั้นขาดเลือดจนบางรายถึงขั้นเสียชีวิต
              
               คน ที่เสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้แก่พวกที่ชอบนั่ง ๆ นอน ๆ และคนที่ต้องเดินทางไกลบ่อย ๆ เกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคนี้เป็น 2 เท่า รวมทั้งบรรดาพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ อีกด้วย นอกจากนั้น จากผลการศึกษาพบว่าฝุ่นละอองในอากาศก็เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่ก่อให้ เกิดโรคเส้นเลือดดำส่วนลึกอุดตัน ยิ่งฝุ่นละอองในอากาศเพิ่มขึ้นเท่าไร ความเสี่ยงต่อโรคนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวทางไกลแล้วเกิดเสียชีวิตเฉียบพลันโดยไม่ทราบ สาเหตุ ส่วนหนึ่งเกิดจากโรคนี้
              
               โรค เส้นเลือดดำส่วนลึกอุดตันป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำให้มาก ๆ และเคลื่อนไหวร่างกายเมื่อต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ เช่น ลุกเดินไปมา กระดกข้อเท้าขึ้นลง งอเหยียดข้อเข่าหรือข้อตะโพก ส่วนคนที่เดินทางไกลโดยเครื่องบินบ่อย ๆ การขยับร่างกายเมื่อมีโอกาสเป็นสิ่งจำเป็น และควรทานอาหารที่ช่วยทำให้เลือดลมเดินได้สะดวกขึ้น เช่น น้ำขิง หรือ พริกไทย เป็นต้น.

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การรักษามะเร็งปอด

         
             
                                 โรคมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยลำดับต้น ๆ ในประเทศไทย ทั้งในเพศชาย และในเพศหญิง มีความเปลี่ยนแปลงหลายประการเกี่ยวกับมะเร็งปอดในประเทศไทยดังนี้
                       
            โรค มะเร็งปอดในเพศหญิงพบมากขึ้น จนอาจพบมาก กว่าในเพศชาย คนไข้ส่วนมากอยู่ในวัยกลางคน ไม่ได้สูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ มะเร็งมักไม่มีอาการในระยะแรก ตรวจพบโดยการถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดพบเป็นจุดหรือก้อนในปอด มักจะพบที่ชายปอดมากกว่าที่ส่วนกลางของปอด เนื่องจากไม่ใกล้ชิดกับหลอดลมจึงมักไม่มีอาการ เช่น ไอ หรือไอออกเป็นเลือด ต่อเมื่อเป็นมากจึงมีอาการ โอกาสจะรักษาหายขาดก็คือเมื่อตรวจพบในระยะแรก ๆ ก่อนที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอด
                      
            การ รักษามะเร็งในปอดซึ่งแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ มะเร็งของปอดเอง และมะเร็งที่แพร่มาจากอวัยวะอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย เช่น มาจากลำไส้ใหญ่ จาก เต้านม หรือมาจากกล่องเสียง มะเร็งของปอดเองก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ มะเร็งที่ประกอบด้วยเซลล์ขนาดเล็ก และมะเร็งที่ประกอบด้วยเซลล์ขนาดที่ใหญ่กว่า หลักของการรักษามีดังนี้คือ
                     
            มะเร็ง ประเภทเซลล์เล็ก มีความรุนแรงสูงแพร่กระจายรวดเร็ว เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ มักมีขนาดใหญ่ และอยู่ที่ขั้วปอด มีอาการ เช่น ไอเป็นเลือด มีหน้า คอ และลำตัวส่วนบนบวม เพราะมะเร็งไปกดเส้นเลือดดำใหญ่ที่นำเลือดจากร่างกายส่วนบนกลับเข้าหัวใจ ห้องขวาบน  การรักษาที่ได้ผลดี คือ การให้ยาเคมีบำบัด การฉายแสงอาจช่วยได้ในบางกรณี เช่น ลดการบวมของต่อมน้ำเหลืองในรายที่ไปกดถูกอวัยวะสำคัญ การผ่าตัดมีบทบาทน้อย นอกจากพบโดยบังเอิญในระยะแรก ที่คนไข้พบว่ามีก้อนในปอดโดยไม่ทราบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือเป็นมะเร็งชนิดใด
                   
            มะเร็งที่ไม่ ใช่เซลล์เล็ก พบบ่อยกว่ากลุ่มแรก ประมาณ 75% ของมะเร็งปอด (ไม่นับมะเร็งที่แพร่มากจากอวัยวะอื่น ๆ) มะเร็งกลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก 3-4 กลุ่ม ซึ่งมีความแตกต่างกันบ้างแต่ไม่มากนัก เดิมมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดจะเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง มักมีก้อนใหญ่  อยู่ใกล้หลอดลมจึงมีอาการไอ ไอเป็นเลือด หรือมีการอุดกั้นหลอดลมทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อ แต่ในปัจจุบันมะเร็งที่พบมากที่สุดกลับเป็นชนิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสูบ บุหรี่ พบมากในเพศหญิงวัยกลางคน ไม่มีอาการในระยะแรก แต่ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอดแล้วกระจายต่อไป ที่สมอง ในช่องท้อง หรือเยื่อหุ้มปอด ทำให้มีน้ำท่วมในช่องปอด มะเร็งกลุ่มนี้ตรวจพบโดยการถ่ายภาพเอกซเรย์ปอด แล้วตรวจเพิ่มเติมโดยทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของทรวงอก และอาจตรวจด้วยเพ็ตสแกน เพื่อดูการจับน้ำตาลของก้อนและต่อมน้ำเหลือง มะเร็งจะจับน้ำตาลมากกว่าเนื้อเยื่อปกติทำให้เห็นเป็นจุดเรืองแสงสว่างกว่า เนื้อเยื่อปกติ แต่การอักเสบและติดเชื้อก็ทำให้มีการจับน้ำตาลมาก อาจให้ผลการตรวจด้วยเพ็ตสแกนที่เป็นบวกได้เหมือนกัน
                   
            เป็น ที่น่าเสียดายที่คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้เกี่ยวกับมะเร็งปอดที่ถูกต้อง การรักษาด้วยยาต้ม ยาตำรับต่าง ๆ ไม่มีการศึกษาและพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าสามารถทำให้มะเร็งหายได้ หรือสามารถยับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งได้ การรักษาที่เป็นมาตรฐานของมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็กมี 3 ชนิดคือ
              
            1.    การผ่าตัด โดยตัดปอดออกเป็นกลีบ ปอดของคนเรามี 2 ข้าง ข้างขวามี 3 กลีบ และข้างซ้ายมี  2 กลีบ การตัดปอดเป็นกลีบนี้นอกจากจะตัดก้อนมะเร็งออกแล้วยังเป็นการตัดท่อน้ำ เหลืองในปอด และต่อมน้ำเหลืองตามหลอดลมในปอดกลีบนั้น และต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอด และบริเวณใกล้เคียง วิธีนี้เป็นการรักษาที่ดีที่สุดในมะเร็งระยะที่ 1 ถึง 2  มะเร็งระยะที่ 3 อาจผ่าตัดร่วมกับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด มะเร็งระยะที่ 4 ไม่แนะนำให้ผ่าตัด ยกเว้นบางกรณี เช่นมีก้อนมะเร็งในปอด และมีก้อนมะเร็งที่แพร่ไปที่สมอง 1-2 ก้อนที่สามารถตัดออกได้ไม่เป็นอันตรายต่อสมองก็แนะนำให้ผ่าตัดสมองและผ่าตัด ปอด ก็จะมีโอกาสหายขาดได้
              
            2.    การให้ยาเคมีบำบัด แนะนำให้ในระยะที่มีมะเร็งแพร่ไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว คือตั้งแต่ระยะที่ 2 เป็นต้นไป โดยมักให้หลังการผ่าตัดในระยะที่ 2  สำหรับระยะที่ 3 อาจให้ก่อน หรือให้หลังการผ่าตัดแล้วแต่ผู้ป่วยแต่ละราย ระยะที่  4 การให้ยาเคมีบำบัดแม้ว่าอาจไม่ทำให้โรคหาย แต่ก็ช่วยให้ควบคุมโรคให้ลุกลามช้าลงได้ อาจช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในบางราย
              
            3.    การฉายแสง ในระยะที่  1 ที่คนไข้ไม่ยินยอมผ่าตัด ก็อาจฉายแสงและบางรายอาจหายได้ โดยทั่วไปการฉายแสงเป็นการรักษาเฉพาะที่เมื่อมีมะเร็งก่อให้เกิดอาการ เช่น กดหลอดเลือดดำใหญ่ทำให้สมองบวม กดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก แพร่ไปกระดูกทำให้มีอาการปวดกระดูกทุกข์ทรมาน
              
            เนื่องจากมะเร็งปอดพบได้มากขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้นจึงมีข้อแนะนำดังนี้คือ
                       
            1.    การถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดประจำปีมีประโยชน์ เพราะจะพบความผิดปกติซึ่งอาจเป็นมะเร็งปอดในระยะแรก
              
            2.    มะเร็งระยะแรกมักไม่มีอาการ เมื่อมีอาการมักเป็นเพราะมะเร็งแพร่กระจาย และอาจรักษาไม่หาย ดังนั้นการตัดสินใจรักษาจึงไม่ใช่เพราะมีอาการ ต้องไม่รอให้มีอาการจึงจะมาตรวจและรักษา
              
            3. การผ่าตัดปอดในปัจจุบันทำได้ทั้งการผ่าตัดแบบเปิดแผลทรวงอก และการผ่าตัดผ่านกล้อง แพทย์จะแนะนำวิธีการที่เหมาะสม เพราะนอกจากความถนัดของแพทย์แล้ว ระยะของโรคก็ยังมีส่วนในการตัดสินเลือกวิธีผ่าตัด การผ่าตัดทั้งสองวิธีได้ผลดีเท่าเทียมกัน มีความปลอดภัยใกล้เคียงกัน
              
            4.    มะเร็งปอดแม้ว่ารุนแรง ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ มะเร็งในระยะที่ 1 มีโอกาสหายขาดถึง 70%
              
            5.    การผ่าตัดปอดแม้ว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ แต่ก็มีความปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อชีวิตไม่มาก แพทย์ต้องประเมินถึงความปลอดภัยก่อนผ่าตัดโดยพิจารณาและศึกษาจากความแข็งแรง ของร่างกาย อายุ โรคร่วมต่าง ๆ เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคถุงลมปอดโป่งพอง ระยะของมะเร็ง การแพร่กระจายของมะเร็ง
              
            6.    การผ่าตัดปอดไม่ทำให้ร่างกายทุพพลภาพ เพราะสมรรถภาพของปอดจะดีขึ้นหลังการผ่าตัด โดยทั่วไปความสามารถในการออกกำลังกายจะใกล้เคียงกับก่อนผ่าตัด เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 6 เดือน และคนไข้สามารถพัฒนาสมรรถภาพของปอดหลังผ่าตัดได้โดยการออกกำลังกาย
                      
            7.    ไม่ควรหลงเชื่อว่ามีผู้รักษามะเร็งปอดโดยใช้ยาที่ผลิตขึ้นเอง หรือให้ผ่าตัดพร้อมกับกินยาที่ผู้รักษาขายให้คนป่วยไปพร้อมกัน การรักษามะเร็งปอดในปัจจุบันมีหลักการที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานทั่วโลก และผลการรักษาก็ดีขึ้นมากแล้ว จึงควรที่คนไข้ที่เป็นโรคนี้ได้รับการรักษาด้วยวิธีผสมผสาน ต่าง ๆ ที่ถูกต้องตามหลักการของการแพทย์ปัจจุบัน
              
            รอง ศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติชัย  เหลืองทวีบุญ  หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / ที่ปรึกษาศัลยแพทย์ทรวงอก โรงพยาบาลพญาไท 2 / http://www.phyathai.com

เอาซิมเก่ากับมาใช้ใหม่

เห็นว่าน่าจะพอมีประโยชน์ ก็เลยเอามาฝากกันคับ
คึดว่าหลายๆท่านน่าจะมี sim card ที่โดนตัดไปแล้วแต่ยังคงเก็บกันอยู่กันบ้างนะคับ
ลอง ค้นๆดูคับ แต่ว่าต้องเป็นของ One2call นะคับ มันคือบริการซิมรีไซเคิล นั้นเอง (ของค่ายอืนไม่รู้ว่ามีรึป่าว ถ้ามียังไงจะเอามาฝากอีกทีแล้วกันคับ)

เริ่มเลยก็ ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ในเครือข่าย AIS เบอร์ใดก็ได้ ยื้มเพื่อนเอาก็ได้คับ กด *552 และพิมพ์รหัส SIM serial 13 หลัก (หรือกด *552*รหัสด้านหลังซิมการ์ด13 หลัก #ก็ได้คับ) หลังซิมการ์ดที่ต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ หลังจากนั้นอีก 3 วัน ระบบจะส่ง SMS ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้กด *552 ในครั้งแรก โดยมีข้อความ SMS คือ “กรุณาใช้ซิมการ์ดที่ต้องการสมัคร กด*211 เพื่อเลือกเบอร์ใหม่ภายใน 30 วันค่ะ”

พอเสร็จแล้วก็นำซิมการ์ดที่ต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ กด *211 เพื่อเลือกเบอร์อิสระภายใน 30 วัน (เผื่อฟลุ๊กได้เบอร์สวยๆเอาไปใช้กันคับ) จากนั้นระบบจะทำการผูก SIM เดิมกับหมายเลขใหม่ และสามารถใช้งานเบอร์ใหม่ได้ทันที ที่สำคัญบริการฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่ายคับผม เข้ากับยุคประหยัด

*หลังจากเปิดใช้งานครั้งแรก จะได้รับวันใช้งาน 7 วัน
*ผมไม่มีส่วนเกียวข้องกับเขานะคับ แค่อยากให้เอาของที่มันมีอยู่แล้วมาใช้ใหม่กัน ประหยัดดีคับ

tip: เล็กๆน้อยๆ ก่อนนอนจ้า

หลังจากที่ทำขั้นแรกเสร็จแล้ว (*552*รหัสด้านหลังซิมการ์ด13 หลัก #)
พอถึง 3 วัน ปุ๊ป ใส่ซิม (ที่โดนตัด) กด *211
เขาจะให้เราเลือกเบอร์ที่กำหนดมาให้ 5 เบอร์

เตรียมเอากระดาษ ปากกามาจดกันใว้จะดีมากเลยจ้า

(จดไปพร้อมกับเล็งเบอร์สวยๆไปในตัวก็ได้)
เพราะเขาให้เราฟัง 2 รอบเท่านั้น ไม่งั้นเขาจะเลือกเบอร์ใดเบอร์หนึงใน 5 เบอร์นั้นให้โดยอัตโนมัต

"หญ้า​ขัดมอน" ขึ้น​ข้าง​ทาง


Pic_174994 
ผู้​อ่าน​ไทยรัฐ ​จำนวน​มาก​ไม่​รู้จัก “หญ้า​ขัดมอน” จะ​เอา​ไป​ต้ม​กับ กระชาย​ป่า ดื่ม​ช่วย​บำรุง​กำหนัด​และ​แก้​กาม​ตายด้าน​ตาม​ที่ “นาย​เกษตร” แนะนำ​ใน​คอลัมน์ ซึ่ง​ถ้า​ใคร​เป็น​คน​ช่าง​สังเกต จะ​พบ “หญ้า​ขัดมอน” ขึ้น​อยู่​ตาม​ที่​รกร้าง​ข้าง​ทาง​ทั่วไป ลักษณะ​เป็น​ไม้​พุ่ม สูง​ประมาณ 1 เมตร ใบ​มี​ด้วย​กัน 2 ชนิด คือ ใบ​แหลม และ ใบ​รี ขอบ​ใบ​หยัก​เหมือน​กัน ดอก​เป็น​สี​เหลือง ลำ​ต้น​และ​กิ่ง​ก้าน​เหนียว​มาก สมัย​ก่อน​นิยม​ถอน​ทั้ง​ต้น​มัด​รวม​กัน 2-3 ต้น ผูก​ติด​ปลาย​ไม้ยาว​ทำ​ เป็น​ไม้​กวาด​ลาน​วัด ลาน​บ้าน​ทนทาน​เป็น​เดือน เปลือก​ต้น​ลอก​เอา​ไป​ทำ​เป็น​เชือก​ผูก​สิ่งของ​เหนียว​มาก

หญ้า​ ขัดมอน ใบ​แหลม มีชื่อ​วิทยาศาสตร์​ว่า SIDA  ACUTA  BURM.F. อยู่​ใน​วงศ์ MALVACEAE มีชื่อ​รอง หญ้า​ข้อ (เหนือ) ยุง​กวาด, ยุง​ปัด (กลาง) มี​สรรพคุณ ราก ต้ม​น้ำ​ดื่ม​เป็น​ยา​ขับ​ปัสสาวะ ขับ​นิ่ว​ใน​กระเพาะ​ปัสสาวะ แก้​ท้องผูก ใบ ตำ​คั้น​น้ำ​ทา​หรือ​เอา​กาก​พอก​สิว ตุ่ม หนอง​ดี​มาก

อีก​ชนิด​ หนึ่ง คือ “หญ้า​ขัดมอน” ใบ​รี หรือ SIDA  RHOMBIFOLIA LINN. อยู่​ใน​วงศ์ MALVACEAE ชื่อ​รอง ขัดมอน, หญ้า​ขัด (กลาง) หญ้า​ยุง​ปัด​แม่ม่าย (กทม.) นิยม​ใช้​ราก​เป็น​ยา​สมุนไพร มี​สรรพคุณ​ใกล้​เคียง​กัน ส่วน​ใหญ่​ดี​ใน​ ด้าน​ขับ​ปัสสาวะ และ นำ​ไป​เข้า​กับ​ยา​อื่น​มี​สรรพคุณ​ทาง​ยา​อีก​มากมาย รวม​ทั้ง​เอา​ทั้ง​ต้น ต้ม​รวม​กับ​หัว กระชาย​ป่า ดื่ม​ก่อน​นอน​วัน​ละ​แก้ว อาทิตย์​ละ 3 วัน ช่วย​บำรุง​กำหนัด​แก้​กาม​ตายด้าน​ด้วย

เหรียญเปลือยเกือบ 2 แสน

   
       
ปัญหาเขาพระวิหารนั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ชาวไทยเคารพบูชา
  
ยุคนั้นเป็นยุคล่าอาณานิคมของมหาประเทศทางยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส
  
อังกฤษหลังจากยึดอินเดีย พม่า มาเลย์ แล้วก็พยายามจะยึดประเทศไทยต่อไป
  
ฝรั่งเศสนั้นเข้ายึดอินโดจีน จากญวน เขมรและลาว
  
ฝรั่งเศสพยายามจะส่งกองเรือเข้ามาทางปากแม่น้ำโขงเข้าเขมรและจะส่งเข้ามาประเทศลาวและเตรียมยึดประเทศไทย
  
แต่ติดขัดแก่งธรรมชาติของแม่น้ำโขงที่แบ่งอาณาเขตลาวและเขมรถึงแก่งหลี่ผี และ แก่ง “คอนพะเพ็ง”
  
แก่งทั้งสองแห่งเป็นแท่งหินธรรมชาติ เรือทุกชนิดผ่านไม่ได้เพราะสูงชันแก่งหินเต็มไปหมด
  
โดยเฉพาะ “คอนพะเพ็ง” นั้น แก่งสูงชันคล้ายน้ำตกไนแองการาที่สหรัฐอเมริกา
  
แก่งคอนพะเพ็งสวยงามมาก กั้นแม่น้ำโขงเต็มผืนแม่น้ำ น้ำตกสูงชันหลายจุด บางตอนของแม่น้ำโขงกว้างเป็นกิโลเมตร
  
อังกฤษ ฝรั่งเศส เตรียมแบ่งประเทศไทยโดยเอาแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเขตแบ่งเมืองขึ้น ฝั่งตะวันออกเป็นของฝรั่งเศส ฝั่งตะวันตกเป็นของอังกฤษ
  
เหตุการณ์ นี้เกิดขึ้นในปี ร.ศ.112 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระปรีชาสามารถมากจึงเสด็จเยือนยุโรปถึงสองครั้ง และทรงเป็น  พระสหายกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสของรัสเซีย ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ไปตีพิมพ์ ทำให้สองประเทศมหาอำนาจเกรงใจรัสเซียไม่กล้ารุนแรงกับไทย
  
แต่ในยุคนั้นก็ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนที่เขมรและลาว
  
โดยเฉพาะเขมรนั้น ต้องยกเมืองเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส
  
ซ้ำ ยังต้องเสียค่าปรับจำนวนมากให้กับฝรั่งเศสอีก จนเงินหมดจากท้องพระคลังต้องนำเงินจาก “ถุงแดง” ที่รัชกาลที่ 3 สะสมไว้ ซึ่งระบุไว้ว่าเงินนี้ให้นำมาใช้เมื่อจำเป็น
  
ซ้ำยังระบุว่าสงครามกับพม่านั้นจบสิ้นแล้ว ให้ระวังฝรั่งจากตะวันตก
  
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เป็น ร.ศ. 112 ตรงกับการครองราชย์ครบ 25 ปี จึงจัดงานเฉลิมฉลองขึ้น และให้สร้างเหรียญที่ระลึกขึ้น
  
เหรียญ นี้แปลกกว่าเหรียญอื่น เป็นเหรียญที่ไม่มีเครื่องประดับใด ๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่พระศอถึงพระเศียรเปลือยเปล่าทั้งสิ้น เรียกกันว่า “เหรียญเปลือย”
  
แสดงว่าพระองค์หมดสิ้นจากการรุกรานของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง
  
เหรียญเปลือยนี้มีทั้งเงินและทองแดง
  
ได้มีการนำเหรียญเปลือยเงินออกประมูลเมื่อเร็ว ๆนี้ ราคาขั้นต้นตั้งไว้ 60,000 บาท แต่มีผู้ให้ราคาสูงถึง 160,000 บาท

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แก้อาหารรสชาติเผ็ดร้อน

        
             
                                 อย่า เพิ่งเข้าใจผิดไป ไม่ได้จะแนะนำวิธีให้ไปแก้แค้นใครที่ไหน แต่ในที่นี้จะแนะนำวิธีแก้อาการทรมานจากอาหารรสชาติเผ็ดร้อนที่เผลอทานเข้า ไป อยากรู้ต้องอ่าน
          
            เคยไหมเวลาไปรับ ประทานอาหารตามร้านอาหารตามสั่ง สั่งแม่ครัวว่าไม่เผ็ด แต่กลับได้อาหารรสชาติเผ็ด ๆ กลับมาทุกครั้ง สั่งส้มตำไม่ใส่พริก แต่กลับมีพริกปรากฏอยู่ในจาน ทานทีไรก็เผ็ดจนน้ำตาไหล กลายเป็นปัญหาสำหรับท่านทั้งหลายที่ไม่ชอบอาหารรสชาติเผ็ดร้อน วันนี้มีเคล็ดลับบรรเทาความทรมานจากอาการเผ็ดมาฝาก
          
            มนุษย์ รับรสชาติอาหารผ่านทางลิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อลิ้นไปสัมผัสกับพริก ซึ่งมีสาร "แคปไซซิน" ตัวการรสชาติเผ็ดผสมอยู่ สารตัวนี้จะเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรสที่ลิ้น คนเราก็จะรับรู้อาการเผ็ด ยิ่งเมื่อไปโดนแกนพริกก็ยิ่งเผ็ดเพิ่มขึ้น
          
            วิธี แก้ความเผ็ดที่นำมาแนะนำคือ ให้รับประทานข้าว หรือ ขนมปัง ตามเข้าไป จะช่วยบรรเทาอาการเผ็ดได้ หรือถ้าตอนนั้นสามารถหานมดื่มได้แนะนำให้ดื่มนม เพราะนมจะมีฤทธิ์ในการดูดซับสารแคปไซซินมากที่สุด
          
            แต่ ถ้าวิธีด้านบนทำให้อิ่มจนเกินไปล่ะก็ให้หาน้ำมะนาว หรือ น้ำมะเขือเทศ มาช่วยแก้เผ็ดแทน เพราะในน้ำเหล่านี้จะมีกรด ซึ่งจะไปทำปฏิกิริยากับสารแคปไซซิน ทำให้ความเผ็ดลดลง
          
            แต่ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ จะอมลูกอมแทนก็ได้เพราะความหวานจากลูกอมก็สามารถดูดซับความเผ็ดได้เช่นกัน
          
            วิธี สุดท้ายที่อยากแนะนำ อาจจะดูน่ารังเกียจไปสักหน่อย แต่ก็ได้ผลเหมือนกัน คือ เวลาที่รู้สึกเผ็ด ร่างกายจะขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาสารที่เผ็ดออกไป ให้ลองปล่อยน้ำลายให้ไหล จะสามารถชะล้างความเผ็ดไปได้ แต่ต้องระวังอย่าให้ใครเห็น เพราะคุณจะกลายเป็นคนไม่มีมารยาทไปในทันที น่าอายแถมระวังไม่มีคนคบด้วย.

เมื่อพ่อแม่เลี้ยงลูกแบบ"ไร้เพศ" เด็กจะตัดสิน"ตัวตน"ด้วยตัวเองได้จริงหรือ

   เมื่อ มีลูก หลายๆคนก็มักต้องการให้ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงได้รับทราบข่าวดีดังกล่าว หลายคนยินดีที่จะเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ อาทิ ชื่อ, เพศ, น้ำหนักแรกคลอด, ฯลฯ
   แต่อีเมล์ฉบับหนึ่งของแคธี่ วิทเทอร์ริค และเดวิด สต็อคเกอร์ แห่งเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ที่ส่งถึงบุคคลใกล้ชิดไม่มีรายละเอียดสำคัญครบถ้วนตามที่กล่าวมาข้างต้น พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่แจ้งเพศของทารกว่าเป็น"เพศหญิง" หรือ"เพศชาย" โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้"สตอร์ม"ลูกของพวกเขา ถูกจำกัดเสรีภาพและทางเลือกในการเลือกเพศสภาพของตนตั้งแต่ยังแบเบาะ
   
   "สตอร์ม" วัย 4 เดือน
   ไม่มีสิ่งปกติหรือความน่าเคลือบแคลงใดๆเมื่อสังเกตจากอวัยวะเพศของทารก แต่นายสต็อคเกอร์กล่าวว่า "หากคุณต้องการรู้จักใครสักคนจริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องถามว่ามีอะไรอยู่ตรงหว่างขาของพวกเขา" ดังนั้นจึงมีเพียงแต่ตัวผู้เป็นพ่อแม่ ลูกคนโตอีก 2 คน(ซึ่งเป็นผู้ชาย) เพื่อนสนิท และนางพยาบาลผดุงครรภ์อีก 2 คนเท่านั้น ที่รู้ว่าทารกวัยสี่เดือนรายนี้จริงๆแล้วเป็นเพศอะไร เพราะแม้แต่ปู่ย่าตายายแท้ก็ไม่ทราบว่าหลานของตนเพศอะไร
   นาง วิทเทอร์ริค และนายสต็อคเกอร์กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้ จะช่วยให้สตอร์มมีเสรีภาพในการเลือกว่าเมื่อโตขึ้นเขาอยากเป็นอย่างไร "สิ่งที่เราสังเกตเห็นคือ พ่อแม่มักจะสร้างทางเลือกให้เด็กๆมากเกินไปและนั่นจะยิ่งทำให้เขารู้สึก สับสน หรือได้รับอันตรายหรือสิ่งเลวร้ายได้ง่าย" เพราะเด็กๆมักจะได้รับ"ข้อความ"บางอย่างจากสังคม ที่กระตุ้นให้พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในกล่องที่สังคมเลือกไว้ให้ ซึ่งรวมถึงเรื่องเพศสภาพ
   

   "เราคิดว่า ถ้าเราทำให้ข้อมูลเหล่านั้นเข้าถึงตัวเด็กช้าลง โดยค่อยๆทำอย่างระมัดระวัง เราก็จะสามารถเอาชนะ"ข้อความ"นับล้านๆเหล่านั้น ก่อนที่สตอร์มจะตัดสินใจว่าเขาต้องการแบบใด" นางวิทเทอร์ริคกล่าว
   เธอ กล่าวในตอนหนึ่งของอีเมล์ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เธอไม่ยอมบอกเพศของสตอร์มก็คือ "ฉันต้องการบอกโลกให้รู้ไว้ว่า กรุณาปล่อยให้เขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขาด้วยตัวเองด้วยเถอะ"
   
   "แจ๊ซ"วัย 5 ขวบ พี่คนโต และสตอร์ม
   ขณะ ที่สาเหตุหลักที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะเก็บ"เพศ"ของสตอร์มไว้ใน ที่มิดชิดที่สุดคือ ในระหว่างที่นางวิทเทอร์ริคกำลังตั้งครรภ์สตอร์ม "แจ๊ซ"บุตรชายคนโต ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับเรื่องเพศของตน และเธอต้องการได้รับคำแนะนำในการเลี้ยงดูลูกเพื่อให้เขาผ่านช่วงเวลาเช่น นั้นไปได้
   ต่อมาเธอได้อ่านหนังสือชื่อ X: A Fabulous Child′s Story ที่แต่งโดย หลุยส์ กูลด์ ที่กล่าวว่า การเลี้ยงดูบุตรโดยที่เขาไม่ทราบว่าตนเป็นเพศอะไร จะทำให้เขาเติบโตเป็นเด็กที่มีความสุขและปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี และเห็นว่าน่าจะปรับใช้ให้เข้ากับลูกๆของเธอได้
   ทั้ง คู่มีมาลูกแล้ว 2 คนก่อนหน้าสตอร์ม คือแจ๊ซ วัย 5 ขวบ และคิโอ วัย 2 ขวบ และได้นำวิธีการเลี้ยงดูบุตรดังกล่าวมาปรับใช้กับเด็กๆ พวกเขาสามารถเลือกใส่เสื้อผ้าได้ตามต้องการไม่ว่าจะเป็นของเด็กชายและเด็ก หญิง และเลือกได้ว่าจะตัดผมหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ยาวตามธรรมชาติ นอกจากนั้นเด็กๆยังไม่ต้องเข้าโรงเรียน แต่ใช้วิธีแบบ"โฮมสคูล" หรือการศึกษาด้วยตนเองที่บ้าน แทนที่จะปล่อยให้ลูกๆของเขาต้องเข้าโรงเรียน 9 โมงเช้า กลับบ้านบ่าย 3 โมง และถูกบังคับให้ปฏิบัติตัว ทำกิจกรรม ตามที่คนอื่นสั่ง หรือเช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ
   เด วิด สต็อคเกอร์ มีอาชีพเป็นครูโรงเรียนมัธยมซิตี้ วิว อัลเทอร์เนทีฟ ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูเพียง 4 คน และมีนักเรียนในชั้นเกรด 7 และ 8 เพียง 60 คน ที่ถูกปิดกั้นด้วยกรอบความคิดทางสังคม เชื้อชาติ และเพศ
   สมาชิก ในครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านอิฐสีครีมขนาด 2 ชั้น ด้านหน้าลานบ้านเต็มไปด้วยจักรยานของเด็กๆ  ซึ่งรวมถึงจักรยานสามล้อสีชมพูสดใสของคิโอ ขณะที่ในบ้านเต็มไปด้วยผลงานศิลปะและงานประดิษฐ์ของเด็กๆ ที่วางร่วมกับหนังสือจำนวนมาก พร้อมด้วยแผนที่โลกบนผนังและเฟอร์นิเจอร์แบบย้อนยุค บนชั้นสองของบ้าน ทุกคนนอนรวมกันในห้องนอนใหญ่ที่มีที่นอนวางต่อกันสองหลัง ในระหว่างวัน เด็กๆจะนำหมอนจำนวนมากและที่นอนมาตั้งเป็นป้อม
   แจ๊ซ มีตาสีน้ำตาล ไว้ผมยาวเลยบ่า และมักพูดด้วยน้ำเสียงเบา กล่าวว่าสีโปรดของเขาคือสีชมพู เขามักจะทาเล็บ และติดหูข้างหนึ่งด้วยวัตถุทรงกลมสีชมพูสดใสไว้ที่หูข้างหนึ่ง ขณะที่คิโอ ไว้ผมหยักศกยาวเลยคาง ชอบสีม่วง และมักจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใส่กางเกงนอน
   การที่ แจ๊ช และคิโอมักชอบใส่ชุดสีชมพูและไว้ผมยาว จึงมักถูกมองว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่กระนั้น สต็อคเกอร์ก็ไม่ห้ามเด็กๆและปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ตนเองต้องการ
    
   นางแคธี่ วิทเทอร์ริค(ซ้าย) และเดวิด สต็อคเกอร์(ขวา) พร้อมลูกคนที่ 2 "คิโอ"
   แต่ ชีวิตที่ปราศจากทางเลือกและกฎเกณฑ์ต่างๆก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป แม้ว่าแจ๊ซจะแต่งตัวคล้ายเด็กหญิง แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเข้าใจตัวเขาผิด เขามักจะร้องขอแม่ของเขาให้บอกกับครูว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย และเขาเลือกที่จะไม่ไปโรงเรียนในระบบปกติ เพราะกลัวที่จะถูกตั้งคำถามเรื่องเพศ หรือคำถามอื่นๆที่จะทำให้เขารู้สึกไม่ดี
   สำหรับตัวของวิทเทอร์ริคเอง ก็ไม่ยอมแพ้ที่จะทำการต่อต้านการเลือกบทบาททางเพศให้แก่ลูกของตน "ทุก คนคอยถามเราว่าเมื่อไหร่จะเลิกวิธีแบบนี้เสียที?" แต่เธอก็ไม่สนใจ และตอบว่า เราจะเลิกทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อ เราได้อยู่ในโลกที่เราสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการจะเป็นอะไร"
   
   เมื่อ เดือนกันยายนปีที่แล้ว แจ๊ซอยู่ในวัยที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้ว แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับบ้าน เนื่องจากทั้งผู้ปกครองและเด็กๆที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยกันนั้น จะแสดงความสนใจในเรื่องเพศ การแต่งกายและทรงผม ทันทีที่ได้เจอเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบใจนัก
   ทั้งคู่มี แผนที่จะเก็บเรื่องเพศของสตอร์มเป็นความลับ ในขณะเดียวกันกับที่ความคิดแนวปรัชญา ก็ยังคงที่จะต้องปะทะกันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสตอร์ม คิโอ และแจ๊ซ จะสะดวกในจพอที่จะตัดสินใจเรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง
   ครั้ง หนึ่ง แจ๊ซนำแฟ้มใส่ผลงานทำมือของเขาที่เต็มไปด้วยผลงานวาดเขียนและกลอนขึ้นมาให้ ดู ในหน้าหนึ่งของกระดาษเขียนข้อความที่แต่งโดยผู้ที่ใช้นามปากกาว่า "ผู้สำรวจเพศ" ด้วยปากกาสีม่วงและสีชมพู ซึ่งตกแต่งด้วยภาพวาดผีเสื้อหลากสีสัน เขียนไว้ว่า "ช่วยเด็กผู้หญิงทำในสิ่งที่เด็กผู้ชายทำ และช่วยเด็กผู้ชายทำในแบบที่เด็กผู้หญิงทำ
   

กินกล้วยต้านโรค (Lisa)

กินกล้วยต้านโรค (Lisa)
                                  กล้วย มีกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงได้หลายพันปี หลายปีมาแล้วเชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรกที่คนปลูก เพื่อเป็นอาหารประเทศไทยเราชื่อแน่ว่าปลูกกล้วยกินมานานมากแล้วจดหมายในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300กว่าปีมาแล้วก็กล่าวถึงเรื่องของกล้วยและยังมีผู้สำรวจและกล่าวว่ากล้วย หลาย 10 พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยแต่คนไทยกลับนิยมกินกล้วยกินน้อยมากบางคนดู ถูกด้วยซ้ำว่าเป็นผลไม้ของคนยาก เนื่องจากราคาถูกจึงถูกจัดให้เป็นผลไม้เกรดต่ำ นำมาขึ้นโต๊ะรับแขกไม่ได้แขกจะถูกแย่ว่าเลี้ยงกล้วย ต้องไปหาผลไม้แพงๆ ซึ่งความจริงผลไม้ไทยๆอย่างกล้วยนี้ สุดยอดวิตามินเชียวล่ะ
                         กินกล้วย-ต้านโรค
                                   ฟังดูชื่อเรื่อง บางคนอาจจะคิดว่า เกินเลยความจริงไปมั้ง
                                  จริง ๆ แล้ว ไม่เกินเลยความจริงเลย กล้วยผลไม้ไทย ๆของเรานี่แหละใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรคและยังเป็นอาหารที่มี คุณค่าทางโภชนาการสูงมีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรตไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำโดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังมี คุณสมบัติที่ย่อยง่ายทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหาร เสริมในวัยทารก
                                  น้ำตาล ที่เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้งขณะที่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือเมื่อกล้วยตกไปถึงลำไส้จะทำให้ลำไส้มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมง่ายและสมบูรณ์ขึ้น จึงนับว่าน้ำตาลในกล้วยมีคุณค่ากว่าน้ำตาลที่ได้จากธัญพืชอื่น ๆ
                       
                                   สารอาหารโปรตีน ที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด  โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก

                                   นอกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตาม
                                  กล้วย แต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกันจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ100 กรัม เท่าๆ กัน
                                  ส่วน วิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วยแม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอ หรือมะม่วงสุกแต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่าเป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อนสำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน
                         เกลือแร่สำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในกล้วยก็คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก           เมื่อ เปรียบเทียบกับผลไม้อื่น ๆ แล้วกล้วยนับเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัสหรือเหล็กก็ตาม กล้วยทุกชนิดมีแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดต่าง ๆ ดังนี้
                                   มีธาตุเหล็กมากกว่าแตงโม พุทรา ระกำ ลำไย ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ
                                   มีแคลเซียมมากกว่าชมพู่ มะเฟือง มะไฟ มะยม มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย ฯลฯ
                                   มีฟอสฟอรัสมากกว่าลูกเงาะ ชมพู่ แตงไทย แตงโม มะเฟือง มะม่วง มังคุด ระกำ ละมุด แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ
                         
         
                                                                                                               
                                                                                                                                                                                                                                                                                                
                                    
                                     
                     
         
                                                                                                               
                        ปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากเนื้อกล้วย 100 กรัม
                        
                        หมายเหตุ
                        จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย ของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรมอนามัย กรกฎาคม 2530
                        
                        จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรกฎาคม 2530
                        ปริมาณวิตามินในเนื้อกล้วย 100 กรัม

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"บัตรประชาชนเด็ก" มิติใหม่...มากมายสิทธิประโยชน์!?

      
   กลาย เป็นประเด็นฮอตที่กำลังฮือฮาอยู่ในขณะนี้ เมื่อเด็กอายุ 7 ปีขึ้นไปจะต้องมีบัตรประชาชน!! จากพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 ที่มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ผู้มีสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 70 ปี และมีชื่อในทะเบียนบ้าน ต้องมีบัตรประชาชน โดยร่างพระราชบัญญัติประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา และมีผลบังคับใช้ 60 วัน นับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้นจึงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ที่จะถึงนี้
     
   “ทำไม เด็ก 7 ปี ต้องมีบัตรประชาชนด้วย” จึงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจใครหลายคน รวมทั้ง ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในวัยนี้ จักรี ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักทะเบียน กรมการปกครอง ไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ว่า จริง ๆ แล้วประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีการพูดคุยหารือกันมานานแล้ว โดยเป็นความต้องการของสังคมมากกว่าที่ต้องการให้คนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี มีบัตรประชาชนเหมือนกับผู้ใหญ่เพื่อแสดงตน โดยเฉพาะในการเข้ารับบริการสาธารณะของรัฐ จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการออกบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับการที่รัฐจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการประชาชนในด้าน ต่าง ๆ ผ่านทางบัตรประจำตัวประชาชน
     
   “แต่เดิมมีสวัสดิการ ต่าง ๆ ที่ได้จากรัฐ เช่น โครงการประกันด้านสุขภาพ ซึ่งจะใช้บัตรทองในการเข้ารับบริการ โดยคนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ก็มีบัตรทองใช้ เมื่อโครงการดังกล่าวยกเลิกไป เปลี่ยนมาใช้บัตรประชาชนแทน ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหากับกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เพราะไม่มีหลักฐานแสดงตัว
     
   โดยปัจจุบันที่ใช้อยู่ คือ สูติบัตรและทะเบียนบ้าน ซึ่งมีปัญหาอีกที่ว่ามีแต่เฉพาะข้อความ ชื่อ นามสกุล วัน เดือน ปี เกิด แต่ไม่มีรูปถ่าย จึงทำให้มีปัญหาตามมาว่า เอกสารที่นำมายืนยันกับตัวเด็กเป็นของคนเดียวกันหรือไม่ เพราะบางครั้งเกิดเหตุการณ์ เด็กชาย ก.มายื่นเอกสารเข้ารับบริการทุกวัน แต่หน้าตาของเด็กชาย ก. ไม่เหมือนกันสักวันเลย ซึ่งตรงนี้รัฐเองก็ต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าผู้ที่เข้ารับบริการเป็นใคร เป็นคนไทยหรือไม่ มีสิทธิในสวัสดิการนั้นจริงหรือเปล่า เพื่อให้เกิดความชัดเจน จึงควรขยายการทำบัตรประชาชนมายังกลุ่มที่มีปัญหาในเรื่องการแสดงตน”
     
   ส่วน เรื่องที่กำหนดให้เด็กอายุ 7 ปีขึ้นไปนั้น เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันในรัฐสภาแล้ว ซึ่งมีบางคนเสนอให้มีการทำบัตรตั้งแต่อายุ 1 ปี แต่ก็มาสรุปที่ 7 ปี เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มเข้าระบบการศึกษาแล้ว มีโอกาสที่จะได้ใช้เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่พึงมี พึงได้ เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาล ซึ่งเด็กจะสามารถแสดงตัวได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง การลักลอบสวมสิทธิก็ทำได้ยากขึ้น
      
   นอกจากนั้น ยังเกิดความสะดวกในการใช้งาน แทนที่จะต้องพกทะเบียนบ้าน สูติบัตร ก็พกบัตรประชาชนเพียงใบเดียวก็สามารถแสดงตนในเจ้าของสิทธินั้นได้ทันที รวมทั้ง หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานต่าง ๆ ก็จะสามารถแยกแยะกลุ่มคนได้ชัดเจน เพราะกลุ่มการบริการมีหลายหน่วยงานด้วยกัน ทั้งประกันสังคม ประกันสุขภาพ สวัสดิการจากราชการ ฯลฯ
      
   ตลอดจนในอนาคตสามารถที่จะตรวจสอบ ประวัติได้ด้วย เพราะเมื่อเข้าสู่ระบบการทำบัตรประชาชนแล้ว จะมีการจัดเก็บข้อมูลของประชาชนเพิ่มขึ้น คือ นอกเหนือจาก ชื่อ ที่อยู่ วัน เดือน ปี เกิด บิดา มารดาแล้ว จะมีการเก็บรูปถ่ายของเด็ก ลายนิ้วมือของเด็กเพิ่มเข้าไป อีกทั้ง เมื่อเด็กได้ทำบัตรครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อไปก็จะไม่มีใครมาสวมสิทธิของเด็กได้ เพราะมีการตรวจสอบเกิดขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่คนที่มีอายุ 7 ปี ขึ้นไป
     
   ผล จากกฎหมายดังกล่าว จะทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 7-14 ปี ต้องทำบัตรประชาชน ซึ่งในขณะนี้ทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 8 ล้านคนในกลุ่มของคนไทยที่สามารถทำบัตรประชาชนได้ โดยในช่วง 60 วันนี้จึงต้องมีการออกระเบียบ ออกกฎกระทรวงเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพราะกฎหมายเดิมไม่ได้เขียนวิธีการทำบัตรเด็กอายุ 7 ปีเอาไว้
     
   ผู้ อำนวยการสำนักทะเบียน กล่าวถึงการดำเนินงานในเรื่องนี้ว่า สำหรับขั้นตอนในการทำบัตรประชาชนให้กับเด็กที่มีอายุ 7-14 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ แม้กฎหมายจะไม่ได้บังคับให้เด็กกลุ่มนี้ต้องทำบัตรพร้อมกัน เพราะระบุไว้ว่า ให้เด็กมาทำได้ในช่วง 1 ปี และสามารถขยายเวลาออกไปได้ตามความเหมาะสม แต่กรมการปกครองก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อดำเนินการให้บริการกับเด็ก ๆ โดยในช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาของการกำหนดวิธีการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กมาเข้ารับบริการ ในส่วนของการยื่นเอกสารต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องยุ่งยากกับตัวเด็กและผู้ปกครองมากนัก
     
   “สำหรับ ขั้นตอนในการทำบัตรจะเน้นให้บริการเป็นกลุ่ม เพราะเด็กที่มีอายุ 7- 14 ปี จะเป็นกลุ่มเด็กที่อยู่ในโรงเรียนเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ มีหลักฐานในการเข้าโรงเรียนซึ่งเป็นการตรวจสอบในระดับหนึ่งอยู่แล้ว จึงอาจจะต้องจัดให้มีบริการในวันธรรมดาและวันหยุด เพื่อจะให้มีแผนในการนัดหมายกัน อาทิ ในวันธรรมดาวันที่นี้ สำหรับโรงเรียนนี้ เด็กชั้นนี้ หรือในวันหยุด ช่วงเช้า ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงสำหรับโรงเรียนนี้ ชั้นนี้มาทำบัตร โดยมีคุณครูพานักเรียนมาที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ ตรงนี้คงต้องประสานขอความร่วมมือกับโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อจะได้ให้ครูช่วยดูแลเด็กด้วย ก็จะมากันเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งตรงนี้ก็จะเกิดความสะดวกและรวดเร็วทั้ง 2 ฝ่าย คือ ทั้งในการให้บริการและเข้ารับบริการ ผู้ปกครองก็จะได้เกิดความสะดวกไม่ต้องมาดูแลหรือเสียเวลาพาเด็กมาทำบัตรด้วย ตนเอง”
     
   กรณีที่ 2 จะเป็นการจัดชุดเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์เข้าไปทำบัตรประชาชนให้กับเด็กที่ โรงเรียน ที่เรียกว่า ชุดเคลื่อนที่ หรือชุดโมบาย ก็จะมีส่วนหนึ่ง ซึ่งจะดำเนินการทั้งในวันธรรมดาและวันหยุดเช่นกัน แต่ชุดนี้จะมีไม่มากนักถ้าเทียบกับจำนวนโรงเรียน และจำนวนอำเภอในท้องที่ต่าง ๆ ในอนาคตอาจจะมีการขยายจำนวนให้มากขึ้นหากมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยประสานกับทางโรงเรียนในการจัดเรียงตามความเหมาะสมในแต่ละชั้นปีของเด็ก ที่จะเข้ารับบริการ ซึ่งทางโรงเรียนก็จะมีข้อมูลเหมือนกับที่ทางหน่วยงานมีข้อมูล ตรงนี้จะเป็นการตรวจสอบไปในตัวว่าตรงกันหรือไม่ ก็จะเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะดวกในการดำเนินการ รวมทั้ง ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ก็จะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำบัตรประชาชนให้ด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้คงต้องดูความพร้อมและความเหมาะสมด้วย
     
   สุดท้าย บริการทั่วไปจะเหมือนกับที่บุคคลอื่น ๆ มาทำบัตรประชาชนกัน คือ ถ้าผู้ปกครองสะดวกที่จะพาบุตรหลานมาทำบัตรประชาชนก็สามารถมาทำได้ที่สำนัก งานเขตและที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ ซึ่งก็จะมีขั้นตอนตามปกติทั่วไปของการทำบัตรประชาชน โดยขั้นตอนทั้งหมดหลังจากวันที่ 9 ก.ค. ระเบียบเหล่านี้จะชัดเจน เพราะจะต้องพร้อมที่จะดำเนินการ โดยลักษณะบัตรประชาชนของเด็กจะเหมือนกับของผู้ใหญ่ทุกประการ และมีอายุ 8 ปี นับแต่วันเกิดของผู้ถือบัตร ที่ถึงกำหนดภายหลังจากวันออกบัตร
     
   จักรี กล่าวต่อว่า วัตถุประสงค์หลักในการดำเนินการครั้งนี้ คือ ต้องการให้แน่ใจว่า เด็กที่มาทำบัตรประชาชนเป็นเด็กในเอกสารที่นำมายืนยันจริง ๆ อีกประการหนึ่ง คือ การทำบัตรในครั้งที่ 2 หรือครั้งต่อ ๆ ไปจะมีการอ้างอิงจากหลักฐาน ข้อมูลในครั้งแรกเพราะเป็นประวัติของเด็ก ถ้ามีการปลอมแปลงตั้งแต่แรกก็จะเกิดปัญหาความยุ่งยาก วุ่นวายในการหาหลักฐานเพื่อมาพิสูจน์ ฉะนั้น การทำบัตรประชาชนให้กับเด็ก 7-14 ปี ในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญ
       
   อย่ามองภาพลบจน เกินไปในเรื่องการนำเด็กมาทำบัตร ถึงเด็กอาจจะไม่รู้เรื่องในการทำบัตร แต่ผู้ปกครอง พ่อ แม่ ต้องเข้าใจรู้ว่าการทำบัตรเป็นประโยชน์กับตัวเด็ก นั่นคือ สิทธิของลูกหลานคุณที่คนอื่นจะมาใช้ไม่ได้ ทำวันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากการมีบัตรเมื่ออายุ 15 ปี เพราะมีโอกาสที่จะได้ใช้อยู่แล้ว
      
   ในเมื่อสังคมมีการ เปลี่ยนแปลงไป การแสดงตัว การใช้สิทธิต่าง ๆ ก็มีเพิ่มมากขึ้น และสิ่งสำคัญคือ ในประเทศไทยมีคนที่ไม่ใช่คนสัญชาติไทยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน เพื่อเป็นการแสดงสิทธิของตนเอง การมีบัตรประชนก็ย่อมได้รับสิทธิต่าง ๆ ที่พึงมี พึงได้ ซึ่งเด็กจะได้รักษาผลประโยชน์ของตนเองตามสิทธิของคนไทยอย่างเต็มที่ อย่าไปมองความยุ่งยากเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำบัตร เพราะเมื่อมีบัตรแล้วจะสะดวกมากขึ้นในการเข้ารับบริการต่าง ๆ.   
  
   หนังสือเดินทางสำหรับราษฎร
   ต้นกำเนิดบัตรประจำตัวประชาชน
   หลัก ฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถชี้ชัดได้ว่าคนไทยเริ่มมีการใช้หนังสือยืนยัน ตัวบุคคลปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457  ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยในมาตรา 90 บัญญัติว่า “กรมการอำเภอเป็นพนักงานทำหนังสือเดินทางสำหรับราษฎรในท้องที่อำเภอนั้น จะนำไปมาค้าขายในท้องที่อื่น”
     
   วัตถุประสงค์ของการออก หนังสือเดินทางรับรองราษฎรดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของราษฎรโดยตรง เพราะการมีหนังสือเดินทางของทางราชการไว้แสดงตัวบุคคลว่า ตัวเขาเป็นใคร  มาจากแห่งหนตำบลใด ย่อมทำให้การเดินทางในต่างท้องที่เป็นไปด้วยความสะดวก และหากเจ้าหน้าที่เกิดความสงสัยขอตรวจค้นตัว ก็สามารถใช้หนังสือเดินทางที่ออกให้เป็นหลักฐานยืนยันและพิสูจน์ได้ว่า เป็นคนบริสุทธิ์ที่ทางราชการรับรองแล้ว ไม่ได้เป็นพวกมิจฉาชีพหรือพวกโจรแต่อย่างใด 
   หนังสือดังกล่าว จึงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในสมัยนั้นและเหมาะสมกับสภาพกาลเวลาของสังคม เมื่อประมาณ 80 ปีที่แล้ว ความสำคัญของหนังสือเดินทางตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ จึงไม่แตกต่างไปจากความสำคัญของบัตรประจำตัวประชาชนในปัจจุบัน
      
ด้วย เหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ต้นกำเนิดของบัตรประจำตัวประชาชนมีที่มาจากหนังสือเดินทางสำหรับราษฎร เพื่อใช้เดินทางไปท้องที่ที่อื่นสำหรับการค้าขายติดต่อกันโดยมีกรมการอำเภอ (หรือนายอำเภอปัจจุบัน) เป็นพนักงานทำหนังสือดังกล่าวให้.

“ผลจาก กฎหมายดังกล่าว จะทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 7-14 ปี ต้องทำบัตรประชาชน ซึ่งในขณะนี้ทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 8 ล้านคนในกลุ่มของคนไทยที่สามารถทำบัตรประชาชนได้ โดยในช่วง 60 วันนี้จึงต้องมีการออกระเบียบ ออกกฎกระทรวงเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพราะกฎหมายเดิมไม่ได้เขียนวิธีการทำบัตรเด็กอายุ 7 ปีเอาไว้”

นักวิจัยไทยพบ “ปลาหลดงวงช้าง” ชนิดใหม่ของโลก


   ฮือ ฮา นักวิจัยไทยพบ “ปลาหลดงวงช้าง” ชนิดใหม่ของโลก เผยจมูก-จะงอยปากยาวเหมือนงวงช้าง ครีบมีดวงลาย 4 จุด ลำตัวยาว 20 ซม. อาศัยตามแก่งหินแม่น้ำโขง ตั้งแต่ปากเซ ส.ป.ป.ลาว ถึงปากมูน จ.อุบลฯ อยู่ระหว่างการตีพิมพ์ผลงานต่อไป
   
    ในการประชุม วิชาการเนื่องในปีสากลแห่งป่าไม้และวันสากลแห่งความ หลากหลายทางชีวภาพ จัดโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น
    นายชวลิต วิทยานนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหิน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวว่า จากการสำรวจปลาในแม่น้ำโขง ยังได้พบปลาหลดชนิดใหม่ของโลกในสกุล Macrognathus โดยตั้งชื่อว่า "ปลาหลดงวง ช้าง" ลักษณะของจมูก และจะงอยปากยาวเหมือนงวงช้าง มีดวงเป็นลายจุดตามลำตัว 4 จุด เฉพาะบริเวณครีบหาง ลำตัวยาว 20 เซนติเมตร พบเฉพาะบริเวณแก่งหินของแม่น้ำโขงตั้งแต่ปากเซ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จนถึงปากมูน จ.อุบลราชธานี พบมากในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น ทั้งนี้ยังอยู่ในระหว่างการตีพิมพ์ผลงานต่อไป
    อย่าง ไรก็ตาม เมื่อปี 2553 เพิ่งพบปลาอีด ซึ่งเป็นปลาชนิดใหม่ของโลกที่พบในเขตท้องนา และเขตพื้นที่ชุ่มน้ำของบึงโขงหลง หนองกุดทิง จ.หนองคาย ปลาชนิดนี้ขนาดเล็กเพียง 2-3 เซนติเมตร มีความโดดเด่นตรงครีบที่เหมือนกีตาร์แซฟเฟอร์ลิน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepidocephalichthys zeppelini นอกจากนี้ยังพบได้ในแม่น้ำของเวียดนาม และกัมพูชา ถือเป็นปลาที่อาศัยในแหล่งน้ำคุณภาพดีเท่านั้น
    “แม้ ว่าไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพของปลาสูงในระดับโลก แต่ก็มีปัจจัยเรื่องภัยคุกคามต่อปลาโดยตรงคือการทำลายป่า ขณะที่โครงการพัฒนาเขื่อนกั้นแม่น้ำสายหลักที่ขาดความรอบคอบในการศึกษาผล กระทบทางสิ่งแวดล้อม ก็ส่งผลให้ปลาในแม่น้ำหลายชนิดสูญพันธุ์ แม้แต่การสร้างฝายแม้ว จากการศึกษาชัดเจนจากการสร้างฝายกั้นลำธาร ในดอยอินทนนท์เมื่อปี 2552 ที่ส่งผลให้ปลาค้างคาวอินทนนท์ไม่สามารถเดินทางข้ามฝายแม้วไปอีกฝั่งได้ จนต้องรื้อฝายออกไป" นายชวลิตกล่าว
    นายชวลิตกล่าวอีกว่า จากการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของสายพันธุ์ปลาที่พบในประเทศไทยมีมากถึง 500 ชนิด เป็นจากปลาที่อาศัยในแหล่งต้นน้ำถึง 300 สายพันธุ์ โดยเฉพาะปลาถ้ำ ถือว่าเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา สำรวจพบปลาถ้ำแล้ว 9 ชนิด ในถ้ำที่แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และพิษณุโลก ปัจจุบันสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ไอยูซีเอ็น) เพิ่งสำรวจสถานภาพของปลาทั่วโลกในปี 2554 พบว่า 80 ชนิดอยู่ในบัญชีเรดลิสต์ หรือสถานภาพน่าเป็นห่วง และในจำนวนนี้ 34 จาก 55 ชนิด เป็นปลาที่อาศัยในระบบนิเวศป่าชายเลน ป่าเขาของไทย เช่น ปลาเสือตอ ปลาทรงเครื่อง ฉนาก กระเบนราหู เป็นต้น
    “สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปลาที่อาศัยในป่าพรุของไทยประมาณ 60 ชนิด พบว่าอย่างน้อย 10 ชนิด อยู่ในภาวะคุกคามอย่างมาก เช่น ปลาก้างพระร่วง ปลากัดช้าง ปลากริมแรด ปลากะแมะ ปลาปักเป้าท้องตาข่าย เนื่องจากป่าพรุถูกเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่และไฟไหม้ ส่วนปลาซิวข้างขวาน ที่มีสีสันสวยงาม และพบมากในป่าพรุโต๊ะแดง จ.นราธิวาส ถูกจับออกไปขายปีละหลายแสนตัว ทั้งในไทย ญี่ปุ่น และยุโรป” นายชวลิตกล่าว

สบู่ดำ พืชน้ำมันเพื่อพลังงานในอนาคต

                                             
            สบู่ดำ พืชน้ำมันเพื่อพลังงานในอนาคต ใช้ทดแทนน้ำมันดีเซล ทั้งยังสามารถใช้เป็นสมุนไพรได้ด้วย มีทั้งประโยชน์และโทษอยากรู้ต้องอ่าน
           
            สบู่ ดำ เป็นไม้พุ่มยืนต้นชนิดหนึ่ง ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มีความสูงตั้งแต่ 2-7 เมตร เป็นไม้ตระกูลเดียวกับยางพาราและมันสำปะหลัง ลำต้นมียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม มีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกมีสีเหลือง เป็นช่อกระจุก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลและเมล็ดมีสีเขียวอ่อนเกลี้ยงเกลา เป็นช่อพวงมีหลายผล เวลาสุกแก่จัดมีสีเหลืองคล้ายลูกจันทร์ รูปผลมีลักษณะทรงกลมขนาดปานกลาง เปลือกหนาปานกลาง ผลหนึ่งส่วนมากมี 3 พู โดยแต่ละพูทำหน้าที่ห่อหุ้มเมล็ดไว้ เมล็ดมีสีดำ ความยาวประมาณ 1.7-1.9 ซม. หนา 0.8-0.9 ซม. เป็นพืชที่ทนและปรับตัวเข้ากับสภาพแห้งแล้งได้ดี จึงทำให้เจริญได้ดีในแถบเขตร้อน ขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งเพาะเมล็ด ปักชำ และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่ใช้น้ำในการเพาะปลูกมากกว่าพืชอย่างอ้อยหรือข้าวโพดถึง 5 เท่า
           
            สบู่ ดำ จัดเป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่ง ที่มาจากทวีปอเมริกาใต้ โดยชาวโปรตุเกสนำเข้ามา ในศตวรรษที่ 18 ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา แรกเริ่มใช้เมล็ดไปคั้นสำหรับทำสบู่ หลังจากนั้นได้มีการปลูกกันแพร่หลายในทุกภาคของประเทศ สาเหตุที่เรียกว่าต้นสบู่ เพราะมีน้ำยางสีขาวคล้ายสบู่บริเวณลำต้นและกิ่ง
           
            ปัจจุบัน มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดสบู่ดำเพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซล ใช้ทดแทนน้ำมันดีเซล โดยคาดว่าในอนาคตจะมีการใช้ไบโอดีเซลจากน้ำมันสบู่ดำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคได้หลากหลาย เช่น ใช้น้ำยางใสทารักษาโรคปากนกกระจอก หรือแผลในปาก แก้อาการปวดฟันก็ได้ หรือผสมกับน้ำใช้เป็นยาระบาย ส่วนลำต้นนำมาสับเป็นท่อน ๆ แช่ในน้ำแล้วอาบ รักษาอาการคัน ดอกสามารถใช้เลี้ยงผึ้งเพื่อผลิตน้ำผึ้ง แต่ผลและเมล็ดของมันก็มีสารพิษเช่นกัน เรียกว่า Curcin เมื่อทานเข้าไปจะทำให้มีอาการท้องเดินและเมา มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและการหายใจ.

“จำปีเพชร” ซึ่งเป็นจำปีพื้นเมืองที่หายากและใกล้สูญพันธุ์

   
       
ดร.ปิยะ  เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี   สำรวจพบ “จำปีเพชร” ซึ่งเป็นจำปีพื้นเมืองที่หายากและใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดของไทยในพื้นที่ จังหวัดเพชรบุรี  นับเป็นการสำรวจพบที่มีรายงานเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่เรียกว่า “new record to Thailand” แต่ไม่ใช่เป็นการสำรวจพบชนิดใหม่ของโลกในประเทศไทย (new species) และขณะนี้ วว. ประสบผลสำเร็จในการขยายพันธุ์นอกถิ่นกำเนิดเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน โดยการนำปลายยอดของกิ่งจำปีเพชรขาวมาทด ลองเสียบยอดกับต้นตอจำปาพบว่า สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ราบภาคกลาง แตกกิ่งก้านจำนวนมาก จากนั้นได้ทำการทาบกิ่งจำปีเพชรด้วยต้นตอจำปาอีกครั้งหนึ่ง พบ   ว่าวิธีการขยายพันธุ์จำปีเพชรโดยวิธีการทาบกิ่งด้วยต้นตอจำปาเป็นวิธีการที่ ได้ผลดี สะดวก รวดเร็วและประหยัด สามารถขยายพันธุ์ได้เป็นจำนวนมาก เมื่อนำออกปลูกนอกถิ่นกำเนิดเดิม ก็สามารถเจริญเติบโตได้ดี  จึงนับได้ว่าจำปีเพชรในประเทศไทยไม่มีโอกาสสูญพันธุ์แล้ว ผู้สนใจสามารถนำไปปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับลงแปลงกลางแจ้งได้ในพื้นที่ทั่ว ประเทศ ทั้งนี้มีข้อแนะนำว่าหากปลูกบนภูเขาหรือบนพื้นที่ระดับสูงจะออกดอกได้เร็ว เนื่องจากจำปีเพชรชอบแดดจัดและความชื้นสูง โดยเฉพาะปลูกในดินร่วนจะดีมากเพราะชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบดินชื้นที่มีน้ำขังแฉะ แต่ไม่แนะนำให้ปลูกเป็นไม้กระถางเนื่องจากเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่
  
ดร.ปิยะ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ วว. กล่าวว่า  จำปีเพชรมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Magnolia mediocris (Dandy) Figlar มีการสำรวจพบครั้งแรกของโลกที่ประเทศจีน ในปี พ.ศ. 2471 สำหรับในประเทศไทยมีการสำรวจพบครั้งแรกโดย วว. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 จากบนสันเขาใกล้แนวชายแดนไทย-พม่า ในเขตจังหวัดเพชรบุรี ที่ระดับความสูง 1,100 เมตร สำหรับเหตุผลที่เรียกว่า “จำปีเพชร” เนื่องจากสำรวจพบครั้งแรกที่จังหวัดเพชรบุรี
  
“หลังจาก ที่ วว. ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยเรื่อง “การอนุรักษ์พรรณไม้ในวงศ์จำปีจำปาในประเทศไทย” จากโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ก็ได้ทำการสำรวจพรรณไม้ในวงศ์จำปีจำปาทั่วประเทศ แล้วได้พบจำปีเพชรขึ้นครั้งแรกที่จังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งมีอยู่เพียง 2-3 ต้น นับว่าหายากและใกล้สูญพันธุ์มาก ไม่มีต้นกล้าเล็ก ๆ ขึ้นอยู่เลย มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก เกรงว่าจะสูญพันธุ์ จึงหาทางขยายพันธุ์ เพื่ออนุรักษ์มิให้สูญพันธุ์ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
  
ต่อ มาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ได้มีการสำรวจพบจำปีเพชรอีกครั้งหนึ่ง จำนวน 2 ต้น ในพื้นที่ป่าภาคตะวันออกเฉียงใต้ในเขตจังหวัดจันทบุรี  ในระดับความสูง 1,000 เมตร เป็นต้นขนาดใหญ่มาก มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนต้นถึง 2.50 เมตร และมีความสูงราว 40 เมตร แต่ก็ไม่พบต้นกล้าขนาดเล็กขึ้นอยู่ที่ใต้ต้นแม่พันธุ์แต่อย่างใด ในขณะนั้นพบผลอ่อนร่วงอยู่ จึงรอจนถึงเดือนตุลาคม แล้วเข้าไปเก็บผลแก่มาเพาะเมล็ด ปรากฏว่าเมล็ดไม่งอกทั้งหมด ต่อมาได้นำปลายยอดมาทดลองเสียบกิ่ง จนถึงปี พ.ศ. 2552 จึงประสบผลสำเร็จในการขยายพันธุ์นอกถิ่นกำเนิดโดยการเสียบยอดและทาบกิ่ง แล้วทำการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีลงสู่เกษตรกร
  
...จนเกษตรกร สามารถขยายพันธุ์เองได้ นับว่าเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรสร้างอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ แล้วยังช่วยให้จำปีเพชรแพร่หลายได้รวดเร็วขึ้น...
  
จำปี เพชร  เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง25-40 เมตร โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ กลางได้ใหญ่ถึง 2.50 เมตร เปลือกลำต้นหนาสีน้ำตาลและมีกลิ่นฉุน ใบเดี่ยวรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง  3.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 8-14 เซนติเมตร มีก้านใบยาวมาก คือยาว 2-3.5 เซนติเมตร ที่ก้านใบไม่มีรอยแผลของหูใบ ออกดอกเดี่ยวที่ซอกใบใกล้ปลายยอด เป็นดอกขนาดใหญ่และสวยงาม มีกาบหุ้มดอก 1 แผ่น และที่กาบหุ้มดอกมีขนสีเหลืองทองปกคลุมหนาแน่น กลีบดอกสีขาว จำนวน 9-10 กลีบ แต่ละกลีบยาว 3.5 เซนติเมตร ดอกเริ่มแย้มและส่งกลิ่นหอมในเวลาพลบค่ำแล้วบานในวันรุ่งขึ้น ในช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดรุนแรง จะส่งกลิ่นหอมได้น้อยลง แล้วกลีบดอกแต่ละกลีบจะร่วงในวันถัดมา มีผลกลุ่มเป็นช่อยาว  2-3.5 เซนติเมตร มีผลย่อย 3-6 ผล แต่ละผลมี 1-3 เมล็ด เมื่อผลแก่แล้วผลย่อยจะแตกออกเป็นแนวเดียว มีเมล็ดแก่สีแดงเข้ม
  
จำปี เพชร หากมีกลีบดอกสีขาวล้วน เรียกว่า จำปีเพชรขาว  หากมีกลีบดอกลายแดง เรียกว่า จำปีเพชรลายแดง ขณะนี้ วว. สามารถขยายพันธุ์ต้นจำปีเพชรขาวได้แล้ว เป็นต้นที่มีดอกดก กลิ่นหอมแรง ปกติจะออกดอกในเดือนกันยายนถึงมกราคม (แต่บางปีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ฤดูออกดอกก็จะเปลี่ยนแปลงไป) มีกลีบดอกจำนวน 9-10 กลีบ แต่ละกลีบยาว 3.5 เซนติเมตร ดอกบานอยู่ได้ 2-3 วัน.

วิธีหยุดเลือดแผลลิ้น-ริมฝีปาก

   
       
"อุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้เสมอ" คำกล่าวสั้นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องคิดถึงสถานการณ์ร้ายๆ เพราะขณะพูดคุย หรือเคี้ยวอาหาร อุบัติเหตุใกล้ตัวก็เกิดขึ้นได้ อย่างการกัดถูกริมฝีปาก ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม นำความเจ็บปวด อาจทำให้มีเลือดออก เกิดแผล เมื่อสัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บแสบ ทำให้ต้องละเลี่ยงอาหารรสจัดจ้านไปจนกว่าแผลจะหาย

เมื่อเกิดแผลที่ ริมฝีปาก ลิ้น หรือกระพุ้งแก้มจากการขบกัดของฟัน ให้ดูแลแผลโดยบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดเพื่อคายเลือดออกไป ตามด้วยการใช้ผ้ากอซฆ่าเชื้อกดบริเวณแผลที่มีเลือดซึมออกไว้นาน 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดแผล

กรณีที่แผล มีลักษณะบวมร่วมด้วย ให้ใช้ผ้าสะอาดหุ้มน้ำแข็งแล้วประคบบริเวณที่บวม ทั้งนี้หากเลือดที่ออกจากแผลไม่หยุด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อห้ามเลือดและรักษาแผลตามสภาพ.

8 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับความงาม

   
       
ข้อ ปฏิบัติเพื่อความงามที่ทำเป็นกิจวัตรทำให้คุณดูแย่ลงแทนที่จะดูดีขึ้นหรือ เปล่า? มาดู 8 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับความงามที่คุณอาจทำผิดจนเป็นนิสัย

1.ชโลม ครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลาย : โดยปกติเวลาสระผมเรามักจะชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนจรดปลายเหมือนเวลาใช้แชมพู สระผม แต่แท้จริงแล้วบริเวณโคนผมจะแข็งแรงเนื่องจากเพิ่งงอกใหม่ ส่วนปลายผมต่างหากที่ต้องการการดูแล เพราะงอกออกมานานแล้ว และเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหาย การชโลมครีมนวดผมตั้งแต่โคนผมจะทำให้ผมมันและดูลีบแบน ทางที่ดีควรชโลมครีมนวดผมบริเวณหูลงไปจรดปลายผม ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ผมมีน้ำหนักและไม่มันง่าย จึงไม่ต้องสระผมบ่อย
  
2.ลง รองพื้นทันทีหลังทาครีมบำรุงผิว: ความชุ่มชื้นในมอยเจอไรเซอร์จะทำให้แต่งหน้าติดไม่ทน ถ้าไม่รอให้มอยเจอไรเซอร์ซึมลงสู่ผิวเสียก่อน ดังนั้นหลังทาครีมบำรุงผิวแล้วควรรอประมาณ 60 วินาทีก่อนลงรองพื้น หรือหากไม่มีเวลาก็ให้ใช้กระดาษทิชชูซับหน้าเบาๆ แล้วจึงลงรองพื้น
  
3.ฉีด น้ำหอมหลังสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว:น้ำหอมอาจทำให้ผ้าเป็นรอยด่างดวง และเส้นใยผ้าก็อาจทำให้น้ำหอมมีกลิ่นแปลกออกไป เพราะน้ำหอมถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับผิวหนัง ความร้อนของร่างกายจะส่งผลให้น้ำหอมส่งกลิ่นหอมรวยรินตลอดทั้งวัน จึงควรฉีดหรือแต้มน้ำหอมบนร่างกายก่อนแต่งตัวบริเวณจุดชีพจร เช่นข้อพับหัวเข่า ซอกคอ หลังใบหูและข้อมือ ที่สำคัญไม่ต้องถูข้อมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันหลังจากฉีดน้ำหอมเสร็จ เพราะจะเป็นการทำลายโครงสร้างโมเลกุลของน้ำหอม
  
4.ถอนขนคิ้วใกล้ๆ กระจก:การจ้องมองอะไรใกล้ๆ จะทำให้เราไม่เห็นภาพรวมของสิ่งๆ นั้น ซึ่งเมื่อใช้วิธีนี้ถอนขนคิ้ว จึงมีโอกาสสูงที่คิ้วทั้งสองข้างจะไม่เท่ากัน หรือถอนจนคิ้วบางเกินไป ดังนั้นหากอยากให้คิ้วสวยเป็นรูปทรง ขณะถอนควรส่องกระจกใหญ่ๆ ที่วางใกล้หน้าต่าง คอยถอยออกมาจากกระจกเพื่อดูรูปทรงของคิ้วอยู่เสมอ และควรถอนขนคิ้วให้มีรูปทรงและขนาดที่เข้ากับใบหน้าเพื่อความสมดุลและเป็น ธรรมชาติ
  
5.ไม่ดูแลลำคอ:เมื่อทาครีมบำรุงผิวหน้า อย่าหยุดแค่ที่คาง เพราะผิวหนังบริเวณลำคอบอบบางกว่าผิวบริเวณหน้าเสียอีก ดังนั้นจึงเกิดริ้วรอยง่าย ทางที่ดีควรดูแลผิวที่ลำคอให้เหมือนกับใบหน้า หากทาครีมกันแดดก็เลื่อนมือลงมาบริเวณลำคอด้วย โดยไม่จำเป็นต้องใช้ครีมสำหรับทาคอโดยเฉพาะ ยกเว้นถ้าครีมที่ใช้มีส่วนผสมของกรดอัลฟ่า ไฮดร็อกซี่หรือเรตินอล ให้ลองทดสอบก่อนว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณลำคอ
  
6.ทามอ ยเจอไรเซอร์รอบดวงตาเพื่อลดอาการบวม:ความชุ่มชื้นในครีมจะเพิ่มน้ำให้ ผิว ดังนั้นการทามอยเจอไรเซอร์อาจทำให้รอบดวงตาบวมยิ่งกว่าเดิม ถ้ารอบดวงตาบวมแต่ไม่แดงหรือระคายเคืองให้ใช้น้ำแข็งประคบเป็นเวลา 10-15 นาที หรือใช้อายเจลที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่ถ้ารอบดวงตาบวมแดงและคัน สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการแพ้อะไรสักอย่าง
  
7.อาบน้ำและสระผมจน กว่าจะรู้สึกสะอาดมากๆ :การขัดถูร่างกายหรืออาบน้ำนานจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกสะอาดและสดชื่นก็จริง แต่ก็จะเป็นการทำลายน้ำมันตามธรรมชาติที่จะช่วยปกป้องผิวและทำให้ผิวชุ่ม ชื้นด้วย ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำพวกใยขัดตัวหรือแชมพูยาก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำลายน้ำมัน บนผิวมาก ข้อแนะนำคือไม่ควรอาบน้ำนานกว่า 10 นาที และใช้เวลาน้อยกว่านั้นถ้าอาบน้ำอุ่น
  
8.ประโคมยารักษาสิวเต็ม ที่:ถ้าสิวผุดขึ้นมาบนใบหน้า ไม่ว่าเม็ดเล็กหรือใหญ่ สิ่งที่คนทั่วไปมักจะทำคือโปะยารักษาสิวให้มากและบ่อยเข้าไว้ โดยหวังว่าสิวเม็ดนั้นจะยุบลงโดยเร็ว แท้จริงแล้วยารักษาสิวมีกรดซึ่งจะค่อยๆ ซึมลงสู่ผิวโดยใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะซึมลงหมด การทายามากเกินไปจึงอาจทำให้สิวปะทุมากขึ้น และเกิดอาการแพ้ ผิวหนังแห้ง และระคายเคือง ดังนั้นต้องปฏิบัติตามวิธีใช้อย่างเคร่งครัด โดยส่วนใหญ่จะให้ทาแค่วันละหนึ่งหรือสองครั้งเพื่อป้องกันผิวแห้ง

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ระบบนาประหยัดน้ำและปุ๋ย งานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริง

   นัก วิจัย ม.อุบลฯ ทำการทดลองโครงการระบบนาประหยัดน้ำและปุ๋ย สามารถปลูกข้าวได้ในหน้าแล้งได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมทั้งเร่งพัฒนาแปลงปลูกข้าวให้ได้ในพื้นที่ดินทรายอีกด้วย
   
     ดร.ฉัตร ภูมิ วิรัตนจันทร์ ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ได้เสนอผลงานวิจัยต้านภัยความแห้งแล้งต่อคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กับโครงการระบบนาประหยัดน้ำและปุ๋ย โดยนำหลักการของการสร้างสระต้านภัยแล้ง ที่ทำชั้นกันซึมแบบเดียวกัน ในแปลงนาข้าวลึกจากผิวดิน 30-50 ซม. ทำให้น้ำและปุ๋ยไม่ซึมลงใต้ดิน ทำให้ใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช่ปุ๋ยเคมีได้ ทั้งยังสามารถเลี้ยงปลาได้ในแปลงนานั้น
    จาก ปัญหาความแห้งแล้งของพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเข้าสู่หน้าแล้งเกษตรกรไม่สามารถทำการเกษตรได้ โดยเฉพาะการปลูกข้าวซึ่งเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นักวิจัยโดย ดร.ฉัตรภูมิ วิรัตนจันทร์ ได้คิดค้นวิธีที่จะช่วยเหลือเกษตรกรจากปัญหาดังกล่าว โดยได้ทดลองโครงการระบบนาประหยัดน้ำและปุ๋ยขึ้น ที่ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านยางน้อย ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ที่จะสามารถช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่สามารถปลูกข้าวได้
    ดร.ฉัตรภูมิกล่าวว่า จากการทดลองในแปลงพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ทำนามาแล้ว 3 ครั้ง สภาพพื้นที่ก็ยังไม่เสียหาย มีน้ำพอสำหรับทำนา เลี้ยงปลาและเลี้ยงเป็ด และเมื่อคำนวณต่อพื้นที่ 1 ไร่ในที่นาระบบประหยัดน้ำนี้จะมีรายได้จากผลผลิตข้าว ปลูกผัก และการเลี้ยงสัตว์ในแปลงนา ราว 1 ล้านบาท ต่อ 1 ไร่ ต่อ 1 รอบการเพาะปลูก
    สำหรับระบบนาประหยัดน้ำดังกล่าว จะใช้หลักการชะลอการสูญเสียน้ำและสารอินทรีย์หรือปุ๋ยในนาข้าว ด้วยการสร้างชั้นกักขังน้ำไว้ในแปลงนาไม่ให้ซึมลงสู่พื้นดิน โดยขุดดินในนาข้าวลึก 50 เซนติเมตร แล้วสร้างชั้นกันน้ำด้วยแผ่นพลาสติกทั่วพื้นแปลงนา ซึ่งจะเก็บกักน้ำไว้ในนาข้าวได้จนข้าวออกรวง
    ดร.ฉัตร ภูมิกล่าวอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกันซึมต่างชนิดกัน ราคาก่อสร้างปัจจัยหลักมาจากค่าขนส่ง แม้ดินเหนียวธรรมชาติราคาถูกแต่ต้องใช้ปริมาณมาก หากขนส่งไกลจะเพิ่มต้นทุนในการก่อสร้างอย่างมาก ในกรณีดังกล่าวการเลือกปรับปรุงดินนาเดิม ด้วยดินเหนียวเบนโทไนต์จะเหมาะสมกว่าแม้แผ่นโพลิเมอร์ดูเหมือนเป็นทางเลือก ที่น่าสนใจ แต่ในทางปฏิบัติแผ่นโพลิเมอร์เมื่อต้องกำจัดย่อมไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถเสียหายได้ง่ายต้องระมัดระวังอย่างมาก
    ทั้งนี้แล้วสำหรับการทดลองโครงการดังกล่าว ที่มีการกักเก็บน้ำให้อยู่ในนาข้าว นั้นยังช่วยเก็บธาตุและสารอาหารที่จำเป็นให้ต้นข้าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สูญเปล่าหรือเสื่อมสลายไปในดินเช่นการปลูกด้วยวิธีปกติ อีกทั้งเกษตรกรยังสามารถใช้แปลงนาข้าวที่มีน้ำขังเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นรายได้เสริมให้เกษตรกรได้อีกด้วย
    รายได้จากนาเดิมที่ขังน้ำไม่ได้ ทั้งไม่สามารถใช้ระบบเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบจะมีรายได้น้อยกว่า 6,000 บาท/เดือน/ไร่/รอบการเพาะปลูก ซึ่งปลูกได้ 1 รอบเฉพาะนาปี โดยนาที่ขังน้ำได้จะสามารถใช้ระบบเกษตรอินทรีย์อะตอมมิคนาโนได้ อีกทั้งเลี้ยงสัตว์น้ำในนาและปลูกพืชผักในคันนาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2.2 หมื่นบาท ถึงมากกว่า 1 แสนบาท/ไร่/รอบการเพาะปลูก ซึ่งปลูกได้อย่างน้อย 2 รอบต่อปีหากมีแหล่งน้ำนอกฤดูฝน
     โครงการระบบนาประหยัดน้ำและปุ๋ยดังกล่าว ตั้งอยู่ที่ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บ้านยางน้อย อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ได้นำไปใช้งานจริงในภาคการเกษตรในชุมชนใกล้เคียง พร้อมเตรียมสนับสนุนขยายผลสู่พื้นที่ประสบภัยปัญหาทางการเกษตรในพื้นที่ภาค อีสานต่อไป

เริม โรคกวนใจแต่ไม่อันตราย

            ตุ่ม เม็ดใสรวมตัวกันอยู่บนริมฝีปาก ทั้งยังรู้สึกคันหรือเจ็บยิบ ๆ บริเวณโดยรอบ นั่นแหละคืออาการของโรคเริม แต่อย่าตกใจไป ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
           
            โรคเริม มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Herpes Simplex เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส มีอยู่ 2 ประเภท ประเภทแรกทำให้เกิดแผลบริเวณริมฝีปากทั้งบนและล่างหรือมุมปาก ส่วนประเภทที่สอง มักจะพบบริเวณอวัยวะเพศ โดยในที่นี่ เราจะแนะนำให้รู้จักกับโรคเริมชนิดที่ขึ้นอยู่บนริมฝีปาก
           
            โรค เริมที่เกิดบริเวณริมฝีปาก เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus Type I : HSV-I โดยเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายประมาณ 6-8 วัน ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 2-10 เม็ด ผู้ป่วยจะมีอาการคันหรือเจ็บยิบ ๆ หรือแสบร้อนรอบ ๆ ตุ่มใส โดยตุ่มเหล่านี้จะรวมตัวกันอยู่บนริมฝีปากประมาณ 1-2 วัน แต่บางรายอาจมีอาการนานถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาจะแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ หลายแผลติดกัน ตกสะเก็ด และหายไปในที่สุด แต่ไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น โดยโรคนี้เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ทางการสัมผัสโดยตรง เช่น ใช้แก้วน้ำร่วมกัน หรือ การจูบ รวมทั้งการสัมผัสสิ่งของของผู้ที่มีเชื้อด้วย ซึ่งมักพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เชื้อไวรัสเริมไม่สามารถกำจัดได้อย่างเด็ดขาด แต่เชื้อจะมีระยะพักตัว โดยเชื้อไวรัสนี้จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเสมอ ในตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นหรือใกล้เคียง
           
            ส่วน สาเหตุการเป็นโรคเริมนั้นอาจเกิดมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด วิตกกังวลจากการเรียนหรือการทำงาน หรือในช่วงที่สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลง ไม่ค่อยสบาย ในรายของหญิงสาวอาจเกิดช่วงระหว่างมีประจำเดือน เพราะเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันต่ำ โดยวิธีรักษา มีทั้งยากินและยาทา ยารับประทานมีให้เลือก 3 ตัว คือ Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้ไม่ได้ทำให้อาการของโรคหายขาด ใช้เพียงแค่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นเท่านั้น สำหรับยาทา ช่วยลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็ว ยาที่นิยมใช้คือ Acyclovir แต่ทางที่ดีควรจะพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดโรคนี้ขึ้นดีกว่า.

ริมฝีปากมักแตกเป็นริ้ว ตึง แห้งจนลอกเป็นขุย ๆ

                                
            สำหรับ ท่านที่มีปัญหาริมฝีปากแตก ลอกเป็นขุย จนมีเลือดออกซิบ ๆ ใช้ลิปมันแล้วก็ยังไม่หาย วันนี้แนะนำวิธีรักษาริมฝีปากให้ชุ่มชื่นด้วยวิธีธรรมชาติ
           
            คน ผิวแห้งริมฝีปากมักแตกเป็นริ้ว ตึง แห้งจนลอกเป็นขุย ๆ หากเป็นมาก จะรู้สึกเจ็บ บางครั้งก็มีเลือดไหลซึมออกมา จนทิ้งรอยด่างดำไว้บนเรียวปากสวย ๆ บางท่านใช้ลิปมันหรือลิปบาล์มก็แล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไป แต่ทราบไหมว่าบรรดาลิปสติกที่ใช้ก็อาจเป็นต้นเหตุทำให้ริมฝีปากแห้งได้ เหมือนกัน ลองหันมาใช้วิธีทางธรรมชาติ เพื่อทำให้เรียวปากดูเรียบเนียมชุ่มชื้นกันเถอะ
           
            วิธี แรกที่แนะนำคือ ให้ใช้ไอน้ำที่เกาะติดอยู่ตามฝากาหรือฝาหม้อ ทาลูบไล้ริมฝีปากบ่อย ๆ ไม่นานรอยแตกจะหาย และริมฝีปากจะดูเรียบเนียนขึ้น เป็นวิธีโบราณที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรเลย น่าลองนำไปใช้อย่างยิ่ง หรือ ลองดื่มน้ำให้มากพอต่อความต้องการในแต่ละวัน คือ 6-8 แก้ว เพราะน้ำจะไปช่วยหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นให้แก่ริมฝีปาก (รวมทั้งผิวหนังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วย) และควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น
           
            บาง ครั้งสาเหตุที่ริมฝีปากแห้งแตก อาจมาจากการแพ้ลิปสติกที่ใช้ เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนของเดิมแล้วสังเกตดูว่าหายหรือไม่ รวมทั้งสาเหตุที่คาดไม่ถึงอย่างยาสีฟันด้วย ให้ทดสอบโดยลองเปลี่ยนยาสีฟันที่ใช้อยู่ แล้วเลือกที่ทำมาจากสมุนไพร ฟองน้อยลง รสอ่อน หรือยาสีฟันเด็ก อาจทำให้ปัญหาริมฝีปากแตกหายไปได้
           
            ที่ สำคัญอย่าเลียริมฝีปาก เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปากแตก และควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี อย่างเช่น ข้าวกล้อง ผักใบเขียว หรือถั่วเปลือกแข็ง
           
            ส่วนสมุนไพรที่แนะนำให้ ใช้ทาริมฝีปากระหว่างการรักษาคือ น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง หรือ จิบน้ำตะไคร้หอมก็ได้ เพราะจะช่วยแก้ปัญหาริมฝีปากแห้งแตกได้.

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นอร์เวย์​มอบคัมภีร์​โบราณธรรมเจดีย์ 2,000 ปี อัญเชิญ​ไว้​ภูเขาทอง

นอร์เวย์​มอบคัมภีร์​โบราณธรรมเจดีย์ 2,000 ปี อัญเชิญ​ไว้​ภูเขาทอง

Pic_173193

   ประเทศ ​นอร์เวย์​มอบ​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สนโบราณ “ธรรมเจดีย์” อายุ​เก่า​แก่​กว่า 2,000 ปี ให้​ประเทศไทย ประดิษฐาน​เป็น​การ​ถาวร ​อัญเชิญ​บรรจุ​ใน​ภูเขาทอง วัดสระเกศ ​ถวาย​สมเด็จ​พระ​พุ​ฒา​จาร​ย์ ประธาน​คณะ​ผู้​ปฏิบัติ​หน้าที่​สมเด็จ​พระ​สังฆราช เตรียม​ฉลอง​ใหญ่​เพื่อ​เฉลิม​พระ​เกียรติ “ในหลวง” ครบ 84 พรรษา...

   
   รัฐบาล ​นอร์เวย์​ใจดี ​มอบ​ของ​ล้ำ​ค่า​ให้​ไทย​เป็น​ผู้​เก็บ​รักษา​ใน​ครั้ง​นี้ ผู้สื่อข่าว​ได้​รับ​การ​เปิดเผย​จากพระ ธรรม​สิทธิ​นายก (ธงชัย สุข​ญาโณ) ผู้​ช่วย​เจ้าอาวาส​วัดสระเกศฯ เจ้าคณะ​ภาค 10 ใน​ฐานะ​เลขานุการ​สมเด็จ​พระ​พุ​ฒา​จาร​ย์ ประธาน​คณะ​ผู้​ปฏิบัติ​หน้าที่​สมเด็จ​พระ​สังฆราช วัดสระเกศฯ เมื่อ​วัน​ที่ 21 พ.ค.​ว่า​ ตาม​ที่​คณะ​สงฆ์​และ​รัฐบาล​ไทย ได้​อัญเชิญ​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” อัน​ศักดิ์สิทธิ์ อายุ​เก่า​แก่​กว่า 2,000 ปี จาก​สถาบัน​อนุรักษ์​สเ​คอ​เยน ราช​อาณาจักร​นอร์เวย์ มา​ประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑ์​ทาง​พระ​พุทธศาสนา อ.​พุทธมณฑล จ.​นครปฐม ตั้งแต่​วัน​ที่ 9 พ.ย.2553 จนถึง​ปัจจุบัน เพื่อ​ถวาย​เป็น​พระ​ราช​กุศล​และ​เป็น​การ​เฉลิม​พระ​เกียรติ​ใน​มหา​มงคล​ วโรกาส​ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง​เจริญ​พระชนมพรรษา 84 พรรษา รวม​ทั้ง​ให้​พุทธศาสนิกชน​ได้​สักการะ
   ปรากฏ​ว่า​มี​ประชาชน​นับ​ ล้าน​คน​จาก​ทั่ว​ประเทศ​หลั่งไหล​เข้า​สักการะ ขณะ​นี้ได้​ถึง​กำหนด​เวลา​ที่​จะ​อัญเชิญ​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” กลับ​ไป​ยัง​ประเทศ​นอร์เวย์​แล้ว โดย​ใน​วัน​ที่ 23 พ.ค.​เวลา 09.00 น.​ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ จะ​เสด็จ​เป็น​ประธาน​สมโภช​และ​ส่ง​มอบ​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” ให้​กับ​ ผู้​แทน​จาก​สถาบัน​อนุรักษ์​สเ​คอ​เยน ราช​อาณาจักร​นอร์เวย์ จาก​นั้น ใน​วัน​ที่ 24 พ.ค.​ อาตมา​และ​นาย​นพรัตน์ เบญจวัฒนา​นันท์ ผอ.​สำนักงาน​พระ​พุทธศาสนา​แห่งชาติ จะ​เดินทาง​ไป​ส่ง​พระ​คัมภีร์ฯ ยัง​ประเทศ​นอร์เวย์​ต่อ​ไป
  
   พระ ธรรม ​สิทธิ​นายกกล่าว​ต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้​ตาม​กำหนด​เดิม พระ​คัมภีร์ฯจะ​ถูก​อัญเชิญ​กลับ​ประเทศ​นอร์เวย์ แต่​ยัง​มี​เรื่อง​ที่​น่า​ยินดี เมื่อ​นาย​เจน​ส์ โบ​รก​วิก ศาสตราจารย์​ด้าน​โบราณคดี​แห่ง​ศูนย์​การ​ศึกษา​ก้าวหน้า ประเทศ​นอร์เวย์ และ​นาย​มาร์​ติน สเ​คอ​ยัน ผอ.​และ​เจ้าของ​สถาบัน​อนุรักษ์​สเ​คอ​เยน ซึ่ง​เป็น​ผู้​ค้น​พบ​และ​เก็บ​รักษา​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” ได้​มา​หารือ​กับ​อาตมา​และ​ตัดสินใจ​มอบ​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” บาง​ส่วน ซึ่ง​เป็น​พระ​คัมภีร์ฯของ​จริง​ที่​จารึก​อักษร​ลง​บน​เปลือก​ไม้ ให้​กับ​สมเด็จ​พระ​พุ​ฒา​จาร​ย์ ประธาน​คณะ​ผู้​ปฏิบัติ​หน้าที่​สมเด็จ​พระ​สังฆราช เพื่อ​นำ​ไป​ประดิษฐาน​ยัง​พระ​บรม​บรรพต​หรือ​ภูเขาทอง ซึ่ง​มี​พระ​บรม​สารีริกธาตุ​องค์​สมเด็จ​พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายุ 2,554 ปี ที่​ขุด​ค้น​พบ​ที่​เมือง​กบิลพัสดุ์ ประเทศ​อินเดีย บรรจุ​อยู่​ก่อน​หน้า​นี้​แล้ว ที่​สำคัญ​อักษร​ใน​พระ​คัมภีร์​ พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” กับ​อักษร​ที่​เขียน​สลัก​บน​ผอบ​บรรจุ​พระ​บรม​สารีริกธาตุ​นั้น​เป็น​ อักษร​ลักษณะ​เดียวกัน​คือ อักษร “พรหม​มี” ซึ่ง​เป็น​ตัว​อักษร​ก่อน​พุทธกาล แสดง​ให้​เห็น​ว่า​พระ​คัมภีร์ฯ​กับ​พระ​บรม​สารีริกธาตุ​นั้น​อยู่​ใน​ยุค​ สมัย​เดียวกัน​คือ​กว่า 2,000 ปี
  
   “การ​ที่​ประเทศ​นอร์เวย์​ ตัดสินใจ ​มอบ​พระ​คัมภีร์ฯ บาง​ส่วน​ให้​กับ​ประเทศไทย​นั้น ​เพราะ​เห็น​ว่า​คน​ไทย​มี​ความ​เคารพ​ใน​พระ​พุทธศาสนา​มาก​กว่า​ชาติ​ใด​ ใน​โลก​และ​ไทย​ถือ​เป็น​ประเทศ​เดียว​ใน​โลก​ที่​ประเทศ​นอร์เวย์​นำ​พระ​ คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” มา​ประดิษฐาน​เพื่อ​ให้​ประชาชน​สักการะ​และ​มอบ​ให้​เป็น​การ​ถาวร เพราะ​แม้แต่​ใน​ประเทศ​นอร์เวย์​เอง ประชาชนยัง​มี​โอกาสได้​เห็น​พระ​คัมภีร์ฯ น้อย​มาก เพราะ​ไม่​เคย​นำ​มา​ประดิษฐาน​จัด​แสดง​เลย และ​หลังจาก​กลับ​จาก​ส่ง​คืน​พระ​คัมภีร์ฯ แล้ว จะ​ทำ​พิธี​อัญเชิญ​พระ​คัมภีร์​พุทธ​ศา​สน​โบราณ “ธรรมเจดีย์” บาง​ส่วน​ที่​ได้​รับ​มอบ​มา ขึ้น​ไป​บรรจุ​บน​ยอด​ภูเขาทอง​เพื่อ​เฉลิม​พระ​เกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ที่​ทรง​เจริญ​พระ​ชน​มพรรษา ครบ 84 พรรษา ใน​วัน​ที่ 5 ธ.ค.2554 และ​เพื่อ​ถวาย​เป็น​พุทธบูชา” พระธรรม​สิทธิ​นายกกล่าว

คลื่น​ไฟฟ้า​แม่เหล็ก​โทรศัพท์มือ​ถือ​ก่อ​เหตุ ผึ้ง​โลก​ลด​น้อย​ลง

คลื่น​ไฟฟ้า​แม่เหล็ก​โทรศัพท์มือ​ถือ​ก่อ​เหตุ ผึ้ง​โลก​ลด​น้อย​ลง

Pic_172868   นัก ​วิทยาศาสตร์​พา​กัน​รู้สึก​ประหลาด​ใจใน​การ​ที่​คลื่น​ แม่เหล็ก​ไฟฟ้าของ​โทรศัพท์​มือ​ถือ มี​ส่วน​ทำให้​ฝูง​ผึ้ง​ทั่ว​โลกพา​กัน​ลด​จำนวน​ลง
  
   ดร.​ดา​ เนี​ยล ฟาว์​ร อ​ดี​ต​นัก​ชีววิทยา​แห่ง​สหพันธ์​เทคโนโลยี​สวิส​ ที่​เมือง​โล​ซา​น ได้​เคย​ศึกษา​พบ​ว่า ฝูง​ผึ้ง​มี​ปฏิกิริยา​กับ​โทรศัพท์​มือ​ถือ​ที่​วาง​อยู่​ข้าง​ใต้​รัง​ ทั้ง​เวลา​โทร.​ออก​และ​โทร.​เข้า พวก​มัน​จะ​พา​กัน​ทำ​เสียง​หึ่ง​เสียง​สูง อันเป็น​สัญญาณ​ปกติ เมื่อ​มัน​เริ่ม​จะ​ยก​ฝูงบิน​ไป​กัน “การ​ศึกษา​นี้ แสดง​ให้​เห็น​ว่า โทรศัพท์​มือ​ถือ​ที่​ใช้​งาน​กวน​ผึ้ง และ​อาจ​เป็น​เรื่อง​ใหญ่​โต​ขึ้น​ได้”
  
   เขา​มี​ความ​เห็น​ว่า มัน​เป็น​หลักฐาน​แบบ​เดียวกัน กับ​ที่​นัก​วิทยาศาสตร์​คน​อื่น​เคย​บอก​ไว้ สัญญาณ​จาก​โทรศัพท์​เคลื่อนที่​มี​ส่วนกับ​การ​เสื่อม​ถอย​ของ​จำนวนผึ้ง​ ลง เขา​เห็น​ควร​จะ​มี​การ​วิจัย​ต่อ​ไป เพื่อ​จะ​ยืนยัน​ความ​เกี่ยวพัน​ของ​สัญญา​ณจาก​โทรศัพท์​มือ​ถือ กับการ​ทลาย​ของ​ฝูง​ผึ้ง​ที่​อยู่​กัน​อย่าง​เป็น​ระเบียบ การ​หายตัว​ไป​ของ​อาณานิคม​ผึ้ง​ใน​ฤดู​หนาว​อย่าง​ทันที​ทันใด ซึ่ง​วงการ​บาง​แห่ง​ประมาณ​ว่า มาก​ถึง​ครึ่ง​ของ​ประชากร​ผึ้ง​ทั้งหมด
  
   ก่อน ​หน้า​นั้น นัก​วิจัย​มหาวิทยาลัย​ใน​อินเดีย เคย​ศึกษา​พบ​ว่า ​ผึ้ง​ใน​รังผึ้ง​ที่​ทดลอง​เอา​โทรศัพท์​มือ​ถือ​ติด​ไว้ จะ​มี​ประชากร​น้อย​ลง และ​ราชินี​ผึ้ง​ก็​ออก​ไข่​น้อย​ลง​ด้วย
  
   แต่ ​ผู้เชี่ยวชาญ​ผึ้ง​บาง​คนค้าน​ว่า เหตุ​ที่​ผึ้ง​ให้น้ำ​หวาน​มี​จำนวน​น้อย​ลง อาจ​เป็น​เพราะ​ดอกไม้​ป่า​หา​ยาก และ​การ​ใช้​ยา​ฆ่า​แมลง​อย่าง​ไม่ค่อย​ระมัดระวัง.

ใส่ใจสุขภาพ...ดูแลถูกวิธี ลดความเสี่ยง 'ประสาทหูเสื่อม'

   
       
"หู” นับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย  ทำหน้าที่รับเสียงต่าง ๆ จากภายนอกผ่านแก้วหูเข้าสู่หูชั้นกลาง และชั้นใน ทำให้เราได้ยินเสียงต่าง ๆ รอบตัว เมื่อเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับหู จึงไม่ควรละเลยการรักษา เพราะอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงได้
  
ผศ.พญ.สุวัจนา อธิภาส ภาควิชาโสต นาสิก ลางริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ความรู้เกี่ยวกับหูว่า จากกายวิภาคของหูจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น  เริ่มจาก หูชั้นนอก ตั้งแต่ใบหูไปสิ้นสุดที่เยื่อแก้วหู ถัดมา จะเป็น หูชั้นกลาง มีลักษณะเป็นโพรงประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ คือ กระดูกหู 3 ชิ้น ซึ่งต่อจากแก้วหู คือ กระดูกรูปค้อน กระดูกรูปทั่ง และกระดูกรูปโกลน และยังมีท่อที่สำคัญ คือ ท่อยูสเตเชียน ซึ่งอยู่ระหว่างหูชั้นกลางกับด้านหลังจมูก โดยท่อนี้จะช่วยปรับความดันระหว่างหูชั้นกลางกับบรรยากาศภายนอกให้มีความดัน ที่พอเหมาะ ถัดไปจะเป็นหูชั้นใน ซึ่งจะช่วยควบคุมทั้งการได้ยินและการทรงตัว ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ประสาท จากนั้นจะเป็นเส้นประสาทหูซึ่งต่อไปที่สมองตามลำดับ
  
ปัญหาเกี่ยว กับหูที่เกิดขึ้นในเด็กจะต่างจากผู้ใหญ่ เพราะโดยธรรมชาติกายวิภาคหูของเด็กกับผู้ใหญ่จะต่างกันตรงที่ท่อยูสเตเชีย นของเด็กจะสั้นและเป็นแนวตรงกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปในหูชั้นกลางได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ฉะนั้น เด็กมักจะมีปัญหาหูชั้นกลางอักเสบได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา
เป็นหวัด
  
อย่าง ไรก็ตาม การอักเสบของหูในเด็กสามารถเกิดขึ้นได้ทุกชั้น โดยหูชั้นนอกจะอักเสบได้จากการแคะ แกะ เกา จนเกิดรอยถลอก มีลักษณะคล้ายผิวหนังอักเสบ หากดูจากภายนอกเด็กจะไม่มีอาการเจ็บป่วยมากนัก เพราะไม่มีไข้ อาจจะมีบ่นบ้างว่าเจ็บ หรือมีน้ำเหลืองไหลออกมา ซึ่งถ้ามีน้ำเหลืองไหลออกมามาก เด็กอาจจะมีอาการหูอื้อตามมาได้
  
การ ป้องกันโรคหูในเด็กสามารถทำได้โดยถ้าเป็นเรื่องของหูชั้นนอก การเช็ดทำความสะอาดที่ใบหูก็เพียงพอแล้ว ในส่วนของหูชั้นกลาง ป้องกันได้โดยพยายามอย่าปล่อยให้เด็กเป็นหวัดเรื้อรัง หรือถ้าเด็กเป็นหวัด ก็ควรงดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ว่ายน้ำ เพื่อให้เด็กหายจากหวัดได้โดยเร็ว รวมทั้งสังเกตอาการว่า เด็กมีอาการปวดหูหรือกระสับกระส่ายหรือไม่ ถ้ามีควรพามาให้หมอตรวจดูอาการด้วย เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อาจจะทำให้หูชั้นกลางอักเสบได้
  
สำหรับอาการ ประสาทหูเสื่อม เป็นอีกหนึ่งโรคเกี่ยวกับหูซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ ผศ.พญ.สุวัจนา กล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องนี้ว่า เป็นอาการเสื่อมของประสาทหูตามธรรมชาติที่เป็นไปตามวัย เพราะร่างกายมนุษย์ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา โดยหูชั้นนอกซึ่งประกอบไปด้วยกระดูกอ่อนจะมีการยุบตัวลง ข้อต่อของกระดูกหูเริ่มแข็งขึ้นเพราะเอ็นที่ยึดกระดูกหูขาดความยืดหยุ่น แก้วหูก็จะเสื่อมลง จึงทำให้การนำเสียงลดลงตามไปด้วย
  
นอกจากนี้ เซลล์ประสาทรับเสียงในหูชั้นในก็เสื่อมลง เพราะเซลล์มีการตายไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น อีกส่วนหนึ่ง คือ เมื่ออายุมากขึ้นหลอดเลือดต่าง ๆ ก็จะเสื่อมลง โดยหูชั้นในจากที่เคยมีเลือดมาหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอก็มีน้อยลง จึงทำให้เกิดอาการเสื่อมตามมา
  
“การได้ยินนอกจากใช้หูแล้ว การฟังให้เข้าใจต้องอาศัยสมองด้วย เมื่ออายุมากขึ้นสมองจะเสื่อม ทำงานช้าลง ทำให้นอกจากจะได้ยินน้อยลงแล้ว สมองซึ่งมีหน้าที่แปลความหมายก็จะมีปัญหาตามมาด้วยคือได้ยินแต่ฟังรู้เรื่อง น้อยลง ตรงนี้เป็นปัญหามากสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งลูกหลานจะไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าผู้สูงอายุหูก็ไม่ได้ตึงมากแต่ทำไมพูดด้วยแล้วเหมือนฟังไม่ค่อยรู้ เรื่อง”
  
จากงานวิจัยพบว่า ผู้ชายจะหูเสื่อมเร็วกว่าผู้หญิง คือ อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีปัญหา ในขณะที่ผู้หญิง โดยทั่วไปจะประมาณ 60 ปี ไปแล้วจึงพบกับปัญหาประสาทหูเสื่อม
  
“อาการเหล่านี้เป็น อาการของความเสื่อมตามธรรมชาติ ฉะนั้น คนที่ร่างกายแข็งแรง ปัญหาเรื่องนี้ก็จะไม่มากนัก แต่ถ้าละเลยการใส่ใจต่อสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างประมาท เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ มีโรคเรื้อรังแล้วไม่ดูแลตนเองก็มีแนวโน้มที่หูจะเสื่อมได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วย”
  
การรักษาจึงไม่มียาที่ รักษาแล้วทำให้หายได้ หลักการคือ จะต้องรู้จักประคับประคองตนเอง ดูแลสุขภาพโดยทั่วไป ถ้ามีปัญหาในการได้ยินมากก็ให้ใช้เครื่องช่วยฟัง สำหรับผู้ที่จะพูดคุยกับผู้สูงอายุต้องเข้าใจ และมีเทคนิคในการสื่อสาร อาทิ พูดตรงหน้า อย่าห่างกันเกิน 1 เมตร อย่าพูดจากด้านหลัง ไม่ต้องพูดดังเกินไป เพราะไม่ใช่หูตึงมากเพียงแต่ฟังแล้วจับใจความได้ไม่ชัดเจน ให้พูดช้า ๆ ชัด ๆ  เป็นประโยคที่ไม่ยาวนัก เพราะถ้าพูดประโยคยาว ๆ ผู้สูงอายุจะฟังคำท้าย ๆ ประโยคไม่ทัน รวมทั้ง ลดเสียงรบกวนจากภายนอก เช่น หรี่หรือปิดเสียงโทรทัศน์ขณะสนทนา จะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  
สำหรับ อาการเกี่ยวกับหูที่ต้องรีบพบแพทย์ คือ ปวดหู มีหนองหรือเลือดไหลออกจากหู รวมทั้งหูเสื่อมเฉียบพลัน คือ อยู่ดี ๆ ก็ไม่ได้ยินเสียง หรือมีเสียงอื้ออึงในหูขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน หรือได้ยินเสียงน้อยลง ตลอดจนเวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน หรือมีอาการอัมพาตของประสาทหน้า หลับตาไม่ลง เป็นต้น
  
การดูแลสุขภาพหูที่ดี คือ การดูแลร่างกายโดยรวมให้มีสุขภาพแข็งแรง ทำความสะอาดเพียงใช้ผ้าเช็ดที่ใบหูก็พอ เมื่อเป็นสิวอักเสบที่หูไม่ควรบีบสิว ไม่ควรเจาะหูสูงถึงบริเวณกระดูกอ่อนของใบหู เพราะถ้าอาการอักเสบลุกลามไปที่กระดูกอ่อนจะทำให้กระดูกอ่อนผิดรูปได้ รวมทั้งไม่ควรแคะหรือปั่นหู สำหรับคนที่มีขี้หูเหนียวอาจจะต้องให้หมอดูดออก เพราะถ้าเช็ดเองอาจจะเป็นการไปดันให้ขี้หูเข้าไปลึกขึ้น และที่สำคัญ คือ หลีกเลี่ยงเสียงดัง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้เครื่องป้องกันเสียง และระมัดระวังการกระทบกระเทือนศีรษะด้วย.

ลูกเดียว 2 แสนบาท

  
       
ในรัชกาลพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มีการเปลี่ยนแปลงในประเทศหลายด้าน

รัชกาลที่ 4 นั้นท่านทรงเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก

นอกจากจะเก่งทางธรรมแล้ว ทางโลกท่านก็ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทางอ่าน พูด และเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว

ในทางดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็มีความเก่งกล้าไม่แพ้นักดาราศาสตร์ของโลกตะวันตก

ทรงคำนวณดวง ดาวและทรงระบุว่าจะเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แม่นยำ ทั้งเวลาและสถานที่

ถึงกับเชิญชาวต่างประเทศจากสิงคโปร์ให้มาชมสุริยุปราคาในเมืองไทย

และเป็นจริงที่ทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ

นอก จากนี้แล้วในรัชสมัยของพระองค์ก็ได้ทรงเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราของไทย จากใช้เงินพดด้วงมาเปลี่ยนเป็นเงินเหรียญแบนแบบที่ใช้อยู่ในนานาประเทศขณะ นั้น

ได้ทรงสั่งเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์จากอังกฤษมาผลิตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ซึ่ง ในครั้งนั้น พระนางเจ้าวิคตอเรียของอังกฤษ ได้ทูลเกล้าถวายเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์มาถวายรัชกาลที่ 4 ด้วย เครื่องจักรนั้นผลิตเหรียญได้แต่คุณภาพไม่ดี จึงเรียกเหรียญรุ่นนั้นว่า “เหรียญบรรณาการ”

แต่ผลิตออกมาน้อยจึงหายากและมีราคาสูงกว่าเหรียญบาทรัชกาลที่ 4 มากมายหลายเท่าตัว ก่อนที่เลิกผลิตเงินพดด้วงในสมัยรัชกาลที่ 4 นี้

ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเงินพดด้วงที่ระลึกขึ้นเรียกว่า “เงินพดด้วงที่ระลึกตรามหามงกุฎ–พระแสงจักร”

พดด้วงที่ให้ผลิตขึ้นนี้ มีขนาดใหญ่ที่สุดและให้เป็นเถาครบชุด

เริ่มตั้งแต่ขนาดใหญ่สุด เถา ชั่ง ตำลึง กึ่งตำลึง บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง และกึ่งเฟื้อง

พดด้วง ชนิดราคา ชั่ง ตำลึง และกึ่งตำลึงนี้ผลิตขึ้นเป็นที่ระลึกเนื่องในงานฉลองพระที่นั่งอนันตสมาคม (องค์เก่า) ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2402

ด้านหน้าพดด้วงเหล่านี้ เป็นตราพระมหามงกุฎ มีลายกนกใบไม้เป็นลายพื้นกรอบล้อม 2 ชิ้นแกะด้วยมือ

ส่วนชนิดราคาตำลึงและกึ่งตำลึงตีตราด้วยแม่ตรา

ด้านบนตราพระแสงจักรมี 7 กลีบบ้าง 11 กลีบบ้าง ใจกลางจักรมีจุด

พดด้วง สภาพเช่นนี้ หนัก 4 บาท (62.08 กรัม) มีตรามงกุฎ-จักร 7 กลีบ ตราทั้งคู่คมและลึกมาก มีสภาพสมบูรณ์มาก หายากที่อยู่ในสภาพเช่นนี้

ได้มีการนำพดด้วงราคา 4 บาทลูกนี้ ออกประมูลเมื่อไม่นานมานี้ ตั้งราคาขั้นต้นไว้ 2 แสนบาทนับว่าสูงมาก